“บิ๊กตู่”ไฟเขียวตั้งศูนย์ตามความเคลื่อนไหวภูมิปัญญาไทย ต่อยอด”ผลิตภัณฑ์-บริการ” ลดนำเข้า-เพิ่มส่งออก

เมื่อวันที่ 30 สิงหาคม คณะผู้จัดงานมหกรรมสมุนไพรแห่งชาติครั้งที่ 13 นำโดย นพ.สุริยะ วงศ์คงคาเทพ อธิบดีกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก เข้าพบพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่ทำเนียบรัฐบาล เพื่อประชาสัมพันธ์งานมหกรรมสมุนไพรแห่งชาติครั้งที่ 13 ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 31 สิงหาคม – 4กันยายน ณ ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพค เมืองทองธานี อาคาร 6-8
ในการเข้าพบนายกรัฐมนตรีครั้งนี้ ทางโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร โดย นพ.จรัญ บุญฤทธิการ ผู้อำนวยการโรงพยาบาล และ ภญ.ดร.สุภาภรณ์ ปิติพร รองผู้อำนวยการด้านการแพทย์แผนไทย ได้เสนอนายกรัฐมนตรีให้สนับสนุนการจัดตั้ง ศูนย์ติดตามความเคลื่อนไหวการใช้ภูมิปัญญาไทย เพื่อสนับสนุนให้เกิดการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการจากภูมิปัญญาไทย

นพ.จรัญกล่าวว่า จากการจัดงานมหกรรมสมุนไพรแห่งชาติมาเป็นเวลา12 ปีนั้น ทำให้ทราบสมุนไพรไทยหลายชนิดที่คนไทยไม่รู้จักนั้นได้ถูกนำไปศึกษาวิจัยต่อยอดโดยต่างชาติแล้ว เช่น ประดู่ทุ่ง มีเฉพาะในประเทศไทย แต่มีในฐานข้อมูลให้ใช้เป็นส่วนประกอบเป็นเครื่องสำอางได้ในยุโรป ซึ่งนับว่าเป็นการสูญเสียความสามารถในการแข่งขันของประเทศอย่างไม่สามารถประเมินค่าได้ ปี 2559 ตลาดสมุนไพรและผลิตภัณฑ์เสริมอาหารทั่วโลกจะสูงถึง 107 พันเหรียญสหรัฐ ในขณะที่ตลาดสมุนไพรมีขนาดใหญ่ขนาดนี้ และประเทศก็จัดเป็นประเทศที่มีความหลากหลายทางชีวภาพสูง มีภูมิปัญญาการดูแลสุขภาพที่เก่าแก่ มีความถนัดทางด้านเกษตรกรรม แต่กลับสามารถพัฒนาต่อยอดองค์ความรู้ภูมิปัญญาเพื่อประโยชน์ทางด้านสุขภาพของประชาชน และเศรษฐกิจของประเทศได้น้อยมากดังนั้นกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทย ฯ จึงได้เสนอนายกรัฐมนตรีให้สนับสนุนการจัดตั้งศูนย์ดังกล่าว เพื่อติดตามความเคลื่อนไหวการใช้ภูมิปัญญาไทย อันจะเป็นทางลัดในการหายาใหม่จากสมุนไพรเครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์จากสมุนไพรสำหรับสัตว์ โดยที่ไม่ต้องเริ่มต้นจากศูนย์ ทำให้เกิดการตื่นตัวด้านการศึกษาวิจัยสมุนไพรไทย เนื่องจากศูนย์จะมีการรายงานความเคลื่อนไหวทางวิชาการอย่างต่อเนื่อง ทำให้เกิดการพัฒนายาและผลิตภัณฑ์จากสมุนไพรที่ตรงกับความต้องการตลาดโลก สามารถวางแผนการปลูกสมุนไพรและการพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตที่มีความเหมาะสม

ก.1
ภญ.ดร.สุภาภรณ์ได้กล่าวถึงการขอรับการสนับสนุนว่จัดตั้ง ศูนย์ติดตามความเคลื่อนไหวการใช้ภูมิปัญญาไทยว่าจะขอดำเนินการที่โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศรก่อนเป็นแห่งแรก เนื่องจากจังหวัดปราจีนบุรีเป็นหนึ่งในเมืองสมุนไพร ที่ภาครัฐกำลังผลักดันอยู่ ประกอบกับทางโรงพยาบาลเองมีความพร้อมของข้อมูลการติดตามการเคลื่อนไหวการใช้ภูมิปัญญาไทยมาระดับหนึ่ง และพร้อมที่จะเผยแพร่ฐานข้อมูลให้กับภาคเอกชน โดยการขอรับการสนับสนุนจะประกอบด้วย กำลังคน ได้แก่ เภสัชกรด้านสมุนไพร และบุคลากรประจำศูนย์ และการเข้าถึงฐานข้อมูลการวิจัยและสิทธิบัตรนานาชาติ ที่จะทำให้การสืบค้นข้อมูลมีประสิทธิภาพมากขึ้น

“นายกรัฐมนตรี ได้รับเรื่องไว้ และบอกว่าให้ดำเนินการได้เลย พร้อมกับกำชับว่า สมุนไพรเป็นภูมิปัญญาไทยที่ต้องส่งเสริม ซึ่งจะต้องสร้างการรับรู้ที่ถูกต้อง เพื่อไม่ให้ประชาชนได้รับอันตรายจากการใช้สมุนไพรที่ไม่ถูกต้อง พร้อมขอให้กระทรวงสาธารณสุขเร่งจดสิทธิบัตร และให้ประสานกับกระทรวงมหาดไทย เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์จากสมุนไพร ให้เป็นสินค้าโอท็อป รวมถึงส่งเสริมอุตสาหกรรมสมุนไพรอย่างจริงจัง เพื่อให้มีมาตรฐาน สามารถนำขึ้นไปจัดจำหน่ายบนเครื่องบินได้”ภญ.ดร.สุภาภรณ์กล่าว