ศัลยแพทย์ เบรก อย่าแตกตื่น หลังข้อมูลว่อนเน็ต กรุ๊ปเลือดเอทำให้เกิดแผลคีลอยด์ ?

ศัลยแพทย์ เบรก อย่าแตกตื่น หลังข้อมูลว่อนเน็ต กรุ๊ปเลือดเอทำให้เกิดแผลคีลอยด์ ?

จากกรณีสังคมออนไลน์แชร์ภาพหญิงสาวท่านหนึ่งสักคิ้วแล้วเกิดคีลอยด์-แผลเป็นนูน จนเป็นที่ฮือฮา ส่งผลให้หลายคนวิตกกังวลและหาสาเหตุว่า ทำไมแค่สักคิ้วจึงเกิดเป็นแผลคีลอยด์ได้ สิ่งที่น่าตกใจคือมีการส่งต่อข้อมูลเรื่อง ‘กรุ๊ปเลือดที่เป็นแผลเป็นง่าย’ นั่นคือ กรุ๊ปเลือดเอ สาเหตุเพราะมีสารแอนติเจนเอมากกว่ากรุ๊ปเลือดอื่น ส่งผลให้เกิดแผลเป็นได้ง่าย ทำให้ชาวเน็ตแตกตื่นและมีความกังวลเป็นอย่างมาก

กับเรื่องนี้ ‘นพ.ธนัญชัย อัศดามงคล’ แพทย์เฉพาะทางด้านศัลยกรรมตกแต่ง และผู้อำนวยการศูนย์ศัลยกรรมความงามโรงพยาบาลบางมด เผยว่า จากการวิจัยทางการแพทย์ มีการตั้งสมมุติฐานว่ากรุ๊ปเลือดเอ และเอบี มีสารแอนติเจนเอ โดยมีเอนไซม์ที่สร้างสาร GAGs หรือ Glycosaminoglycans (ไกลโคสะมิโนไกลแคน) ซึ่งเป็นชนิดเดียวกับสารที่มีอยู่ในคีลอยด์

Advertisement
นพ.ธนัญชัย อัศดามงคล

แต่งานวิจัยดังกล่าวเป็นเพียงงานวิจัยเดียวเท่านั้น ในทางกลับกันงานวิจัยที่ได้รับการรับรองอีกหลายตัวมีผลทางสถิติอย่างมีนัยยะสำคัญว่าเลือดกรุ๊ปเอ หรือ เอบี ‘ไม่มีผลต่อการเกิดแผลคีลอยด์’ โดยการศึกษาหรือหาข้อสรุปทางด้านการวิจัยต้องดูเปรียบเทียบกันอีกหลาย 10 งานวิจัย และมีผลการทดสอบกับกลุ่มตัวอย่างมากกว่า 1,000 คนขึ้นไปถึงจะเป็นงานวิจัยที่น่าเชื่อถือ ซึ่งในขณะนี้ยังคงสรุปไม่ได้ว่าคนเลือดกรุ๊ปเอเป็นกลุ่มคนที่เกิดแผลเป็นคีลอยด์ได้ง่ายว่าคนเลือดกรุ๊ปอื่น

ปัจจัยหลักที่จะส่งเสริมให้เกิดแผลคีลอยด์ตามข้อมูลงานวิจัย ที่น่าเชื่อถือได้นั้น มีอยู่ด้วยกัน 4 ปัจจัย

1. ด้านเชื้อชาติ เช่น คนแอฟริกา หรือ คนผิวดำ จะมีโอกาสเกิดคีลอยด์ได้มากกว่าคนผิวขาว

Advertisement

2. ด้านพันธุกรรม สังเกตว่าถ้าบิดามารดาเป็นคีลอยด์ได้ง่ายเมื่อเรามีแผลเกิดขึ้นโอกาสที่จะเกิดคีลอยด์ก็จะสูงกว่าคนทั่วไป

3. บริเวณที่เกิดแผลคีลอยด์ได้ง่าย เช่น ใบหู หน้าอก และไหล่ ยกตัวอย่างเช่น แผลผ่าตัดบริเวณหน้าอก หรือใบหู มีโอกาสเกิดเกิดคีลอยด์มากกว่า บริเวณหน้าท้อง เป็นต้น

4. ระดับการบาดเจ็บของเนื้อเยื่อ แผลที่มีการบาดเจ็บมาก แผลที่หายช้า หรือ แผลที่มีการอักเสบติดเชื้อ ในระยะยาวมีโอกาสเกิดแผลคีลอยด์ได้มากกว่า

นอกจากนี้ การรักษาปัจจุบันยังไม่มีวิธีไหนที่ทำการรักษาคีลอยด์ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่จะเป็นการรักษา แบบ Multimodality หรือที่เรียกว่าการรักษาแบบผสมผสาน มีทั้งหมด 2 วิธี ดังนี้

1. First line treatment การรักษาอันดับแรก คือการใช้ยาฉีด (Steroid), การใช้แผ่นลดรอยแผลเป็น (Silicone Sheet) หรือการใช้ยาทาแผลเป็น

2. Second line treatment หากรักษาด้วยวิธีข้างต้นแล้วไม่ดีขึ้นแพทย์จะพิจารณารักษาด้วยวิธีอื่นๆ เช่น การฉายแสง การใช้เลเซอร์ หรือ การตัดก้อนคีลอยด์ออก ร่วมกับการฉีดยา

ทั้งนี้ การเลือกเสริมความงามนั้น ควรเลือกสถานที่ที่ได้มาตรฐานรวมไปถึงตรวจสอบความปลอดภัยจากวัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ เพื่อความสวยที่ปลอดภัยในระยะยาว

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image