นาโอมิ แคมป์เบลล์ จุดกระแสบูมแฟชั่นไทย ‘ครีเอทีฟดัง’ ชี้โจทย์ใหญ่ นางแบบไทยสู่รันเวย์โลก
จากกรณี นาโอมิ เอเลน แคมป์เบลล์ (Ms. Naomi Elaine Campbell) นางแบบดังระดับโลก เข้าพบหารือกับ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ถึงแนวทางการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมแฟชั่น และเป็นที่ปรึกษาปั้นเด็กไทยเป็นนางแบบระดับโลก
นายประกิต กอบกิจวัฒนา หรือ แมว ศิลปินและครีเอทีฟโฆษณา ให้สัมภาษณ์ในรายการ The Politics ทางช่องมติชนทีวี ถึงกรณีดังกล่าวว่า การเชิญนาโอมิ แคมป์เบลล์ อาจจะผิดฝาผิดฝั่งเพราะหากต้องการจะผลักดันแฟชั่นเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ และมันยังไม่ได้ถูกพูดถึงว่าวันนี้อุตสาหกรรมแฟชั่นพวกสินค้าหรู (luxury) ในโลกนี้ตอนนี้เป็นธุรกิจขาลง ดังนั้นสิ่งที่รัฐบาลจะทำเรื่องแฟชั่นมันต้องมาตั้งโจทย์ก่อนว่าธุรกิจแฟชั่นเราจะไปอยู่ตรงไหนในโลกใบนี้
ส่วน “ตลาดนางแบบ” มันไม่ได้ถูกกำหนดโดยรัฐ มันต้องมีดีมานด์หรือเทรนด์การเลือกนางแบบในโลกว่าเขากำลังไปทางไหน แล้วเราตอบสนองเทรนด์นั้นได้หรือเปล่า สินค้าแบรนด์เนมต่างๆ เขาเป็นคนกำหนดสเปกนางแบบและเป็นผู้กำหนดเทรนด์เอง เขารู้ว่าปีหน้าเขาจะใช้นางแบบประเภทไหน เทรนด์ไปทางเอเชียหรือไปทางผิวสี ถ้าเราดูท็อปโมเดลลิ่งส่วนใหญ่เขาจะเป็นคนกำหนดเทรนด์
สิ่งสำคัญอีกข้อคือเรื่องทางกายภาพ (physical) เวลาที่คุณจะไปเป็นนางแบบระดับโลกมันมีกฎเกณฑ์อะไรอีกเยอะแยะ เช่น ความสูง การสื่อสารและภาษา การที่คุณจะแบ่งตลาดนี้จึงไม่แน่ใจว่าเราในฐานะของรัฐควรไปทำหรือไม่ และคิดว่ามีผู้ประกอบการหลายเจ้าในประเทศไทยที่มีความเชี่ยวชาญเรื่องนี้ เราควรดึงเขาเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งหรือไม่ หรือลองเรียกผู้ประกอบการมาพูดคุยถ้าอยากจะผลักดันเรื่องนี้ แล้วมาดูว่าธุรกิจโมเดลลิ่งไทยมีขนาดเท่าไร เราแข่งขันในตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้หรือไม่ แล้วเราจะไประดับโลกอย่างไร ในตลาดโลกใครเป็นเจ้าตลาด เราจะส่งคนไปอยู่ในโมเดลลิ่งเอเจนซี่ระดับโลกเพื่อเรียนรู้งานอย่างไร
นาโอมิ แคมป์เบลล์ คนเดียวจะช่วยเราได้ไหม รัฐควรจะสนับสนุนผู้ประกอบของไทยเหล่านี้ สร้าง Ecosystem ของมันหรือไปดูว่ายังขาดอะไรต้องการแรงสนับสนุนตรงไหน
ปัจจุบันการหานางแบบเท่าที่รู้คือโมเดลลิ่งจะไปหา “นางแบบตามอินสตาแกรม” เขาเรียก instagirls ซูเปอร์โมเดลทั้งหลายส่วนหนึ่งเกิดมาจากโลกโซเชียล เมื่อก่อนโมเดลลิ่งเอเจนอาจจะมีอิทธิพลต่อการเลือกนางแบบ แต่ปัจจุบันนางแบบ instagirls มีผู้ติดตามเป็นล้านคน เพราะฉะนั้นเขาจะมีอิทธิพลต่อแบรนด์สินค้ามากๆ จะเห็นว่าโมเดลการทำธุรกิจในปัจจุบันไม่เหมือนกัน แต่ก่อนแบรนด์สินค้าเป็นผู้เลือกนางแบบ แต่ปัจจุบันนางแบบมีสิทธิ์จะเลือกได้เพราะมีฐานผู้ติดตามอยู่ในมือ เพราะฉะนั้นแบรนด์สินค้าเองจึงต้องเปลี่ยนวิธีการทำงาน
อย่างที่เราเห็นแบรนด์สินค้าหันไปใช้นักดนตรีมาเป็นพรีเซนเตอร์ เช่น ลิซ่า , จีซู หรือแม้แต่ศิลปินบางคนที่ดังมากๆ ก็สร้างแบรนด์ของตัวเองขึ้นมาด้วยซ้ำ เพราะโลกมันเปลี่ยนไปแล้ว วันนี้อาจต้องทบทวนใหม่ว่าธุรกิจแฟชั่นของไทยอยู่ตรงไหน เรามีส่วนแบ่งในตลาดโลกตรงไหน เรามีแบรนด์ของคนไทยในระดับโลกหรือยัง สิ่งเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งที่รัฐบาลต้องผลักดันเยอะมากๆ ถ้าจะใช้ ‘นาโอมิ แคมป์เบลล์’ ในการตีปี๊บหรือคิกออฟอะไรก็แล้วแต่ ความจริงแล้วยังต้องคุยกับอีกหลายคนเลย อาจต้องไปเชิญอินฟลูเอนเซอร์ที่มีอิทธิพลต่อโลกแฟชั่นมาเป็นที่ปรึกษามากกว่าที่จะมีแค่ นาโอมิ แคมป์เบลล์
ครีเอทีฟโฆษณา ยังยกตัวอย่างกรณี ‘รจนา เพชรกันหา’ หรือ ‘เมทินี กิ่งโพยม’ ที่เคยขึ้นเวทีนางแบบระดับโลกว่า ถ้าใครรู้ประวัติความเป็นมาจริงๆ รจนา ได้รับการทาบทามจากโมเดลลิ่งต่างชาติ ตอนนั้นนั่งกินส้มตำอยู่แล้วโมเดลลิ่งต่างชาติมาเห็นแล้วชวนไป แต่ว่าก็เป็น sad story เพราะว่าเป็นซูเปอร์สตาร์ในชั่วข้ามคืนเงินทองไหลมา และการใช้ชีวิตนางแบบไม่ใช่เรื่องง่าย เหมือนกับคุณเป็นนักฟุตบอลอาชีพ มันต้องมีความเป็นมืออาชีพ ต้องรู้จักดูแลตัวเองให้ดี ถ้าพูดกันตรงๆ วงการนางแบบจริงๆ เป็นวงการที่มีเรื่องเสื่อมเสียการใช้แรงงานกดขี่ มันมีมุมมืดของมันอีกหลายเรื่อง มันไม่ใช่แค่ฉากที่เห็นข้างหน้า การต้องอดอาหาร การกดขี่ สิ่งเหล่านี้เราไม่ได้พูดถึง ถ้าพูดว่าเพราะได้เงินดีจึงส่งไป มันไม่ได้เป็นแบบนั้นทุกคน
“คุณจะรู้ได้อย่างไรว่าส่งไป 10 คนมันจะได้ 10 คน อะไรเป็นตัวชี้วัด คุณไม่ได้เป็นคนกำหนดเกม รัฐบาลไม่ได้เป็นคนกำหนดเกมตลาดโมเดลลิ่ง คนกำหนดเกมตัวจริงคือ แฟชั่นดีไซน์ระดับโลก โมเดลลิ่งระดับโลก หรือแม้แต่แบรนด์ระดับโลกเป็นผู้กำหนด เสื้อผ้าที่เราใส่กันทุกวันนี้แบรนด์ระดับโลกเป็นผู้กำหนดทั้งนั้น ปีนี้น่าจะเป็นแบบนี้นะ ต้องหน้าเก๋ๆ ผิวสีแบบนี้ แม้กระทั่งเสื้อผ้าที่เราใส่ทำไมปีนี้ต้องพลาสติกมากขึ้นเพราะทุกอย่างมาจากมาร์เก็ตติ้ง มันพูดลอยไม่ได้ๆ คุณต้องมีโจทย์ให้ชัดก่อนว่าสิ่งที่รัฐบาลนี้จะขับเคลื่อนในเรื่องธุรกิจแฟชั่นหรือโมเดลลิ่งต้องมาดูว่าเราจะอยู่ตรงไหน คุณต้องมีธงปักในโลกนี้ว่าจะไปยืนตรงไหนของตลาด จากนั้นค่อยมาหาทางไปเพราะต่อให้คุณส่งไปแล้วมันตอบสนองกับโลกไหม” นายประกิต กล่าวและว่า
รัฐบาลควรสร้าง Ecosystem ขึ้นมาแล้วดึงผู้ประกอบการที่มีความเชี่ยวชาญ มีความรู้เรื่องนี้ไปทำ โดยมีรัฐบาลทำหน้าที่สนับสนุน ต้องทำจริงจังกว่านี้เหมือนกับที่อยากจะผลักดันซอฟต์พาวเวอร์วงการภาพยนตร์ ไปดูว่าธุรกิจแฟชั่นขาดอะไรที่รัฐบาลควรไปเติม หรือขาดอะไรที่รัฐบาลจะช่วยเชื่อมต่อให้ไปสู่ระดับโลกได้ อันนี้เป็นหน้าที่ที่สำคัญของรัฐบาล สามารถพาผู้ประกอบการไทยตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำ ตั้งแต่วัตถุดิบ ไปถึงแฟชั่นดีไซน์เนอร์ หรือจะมีนางแบบพ่วงไปด้วย มันต้องไปพร้อมกันทั้งหมด ผลสุดท้ายมันจะนำมาสู่เรื่องเศรษฐกิจของประเทศไม่ว่าจะการจ้างงาน หรือการไปสร้างชื่อเสียงระดับโลกมันถึงจะเกิด
อีกอย่างคือเราต้องลดความเป็นไทยลงบ้าง เราติดกับดักเรื่องผ้าไหมกันเยอะ ถ้าเราจะไประดับโลกต้องมีความคิดที่เป็นสากลร่วมสมัยไปกับเขาด้วย การที่ยึดติดกับตัวตนของเรามันก็เป็นกับดักของเราอันหนึ่ง ถ้าเราปรับตัวเองคนไทยสามารถขึ้นไปแข่งขันได้ในเชิงความคิด ซึ่งมันสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มและสร้างงานจำนวนมากให้คนไทย