เป็นข้อมูลที่จะทำให้เห็นถึงทิศทางตลาดงานของไทยและอาเซียนจากมุมผู้ประกอบการ ผู้สมัครงาน รวมถึงมุมมองของบริษัทจัดหางาน สู่การปรับปรุงและพัฒนาตนเองให้ได้งานในฝัน ตลอดจนไม่เป็นคนตกยุคตกงาน จัดโดยบริษัท จัดหางาน จ็อบส์ ดีบี (ประเทศไทย จำกัด) ณ โรงแรมแกรนด์ไฮแอทเอราวัณ กรุงเทพฯ
แองจี้ เอส ดับเบิ้ลยู พัง ผู้อำนวยการฝ่ายขายและปฏิบัติการระดับภูมิภาค บริษัท ซีค เอเชีย เล่าว่า จากการสำรวจความคิดเห็นผู้ประกอบการและผู้สมัครงานในภูมิภาคอาเซียนและฮ่องกง จำนวน 4,000 กว่ารายในปี 2018 พวกเขามองตลาดงานปีนี้สดใสกว่าปีก่อน ร้อยละ 47 ระบุว่ามีแผนจะขยายกิจการและจ้างงานเพิ่ม โดยเฉพาะในประเทศไทย เวียดนาม ฮ่องกง อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ที่เศรษฐกิจเริ่มฟื้น ขณะเดียวกันก็ต้องการคนทำงานที่มีทักษะหลากหลาย อาทิ ภาษาอังกฤษ หรือภาษาที่ 3 ทักษะการใช้ไอที และทักษะเฉพาะทาง ที่สอดคล้องกับการเข้าสู่เศรษฐกิจดิจิทัลและเทคโนโลยี
“เวียดนามเป็นประเทศที่คึกคักเรื่องตลาดแรงงานมากที่สุด เพราะมีต่างชาติเข้าไปลงทุนมาก ขณะเดียวกันก็เกิดธุรกิจสตาร์ตอัพภายในประเทศเป็นจำนวนมาก ขณะที่คนไทยจะพบลักษณะการลาออกจากตำแหน่งเดิมแล้วไปสมัครงานใหม่ในตำแหน่งที่สูงกว่า เพื่ออัพเงินและโบนัส เพราะในประเทศไทยเน้นให้ค่าตอบแทนและโบนัส กลุ่มท็อปเมเนจเมนต์สูงกว่ากลุ่มแรงงานอื่น”
แองจี้ฝากถึงคนรุ่นใหม่ในการไปสมัครงานว่า นอกจากความรู้ความสามารถที่ภาคธุรกิจต้องการจากคนทำงานแล้ว ทัศนคติก็ถือมีความสำคัญมาก ที่จะต้องแสดงออกมาให้เห็นว่าฉันสามารถทำได้ ชอบเรียนรู้ ไม่กลัว และพร้อมเปลี่ยนแปลง
“ซึ่งนี่คือสิ่งที่หลายองค์กรต้องการมากกว่าความรู้ และความสามารถที่ฝึกฝนภายหลังได้”
ภายในงานยังได้เปิดข้อมูลความต้องการแรงงานจากผู้ประกอบการในประเทศไทยปี 2017 คือพนักงานขายและพัฒนาธุรกิจ รองลงมาคือวิศวกร งานธุรการและบุคคล เจ้าหน้าที่ไอที และพนักงานการตลาด
ขณะที่ประเภทงานที่เติบโตมากที่สุด คือพนักงานขาย บริการลูกค้า และพัฒนาธุรกิจ รองลงมา คือพนักงานธุรการและบุคคล วิศวกร พนักงานการตลาดและประชาสัมพันธ์ และเจ้าหน้าที่ไอที
ทั้งนี้ การเติบโตก็ควบคู่มากับอัตราการลาออกสูง และต้องเปลี่ยนแปลงให้มีทักษะตามโลกาภิวัตน์
ขณะที่ นายจุลเดช มัชฉิมานนท์ ผู้จัดการฝ่ายดูแลลูกค้าองค์กร บริษัท จัดหางาน จ็อบส์ ดีบีฯ เล่าว่า จากความเปลี่ยนแปลงของตลาดแรงงาน สามารถพูดได้ว่า ขณะนี้ทุกตำแหน่งงานพร้อมจะตกงานได้หมด หากหยุดนิ่งในการพัฒนาตนเอง
ด้วยทำงานกับผู้ประกอบการมาตลอด จึงได้รับฟังเสียงบ่นจากผู้ประกอบการถึงปัญหาผู้สมัครงาน “เบี้ยวนัด” ไม่มีมาสัมภาษณ์งาน
“ขณะนี้ทุกองค์กรไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่กำลังเผชิญปัญหานี้ ทำให้เสียเวลาเสียโอกาส ซึ่งอาจเพราะการสมัครงานในปัจจุบันสะดวกมากขึ้น ผู้สมัครงานจึงหว่านสมัครงานไปทั่ว โดยไม่ดูความสามารถตัวเอง พอฝ่ายบุคคลนัดมาสัมภาษณ์ก็คิดว่าไม่น่าทำได้ แต่ก็ไม่ปฏิเสธและเบี้ยวเขา บางแห่งฝ่ายบุคคลต้องถูกตำหนิจากฝ่ายบริการที่มาทำหน้าที่สัมภาษณ์”
“กรณีแบบนี้บางองค์กรในประเทศสิงคโปร์และมาเลเซีย จะขึ้นแบล๊กลิสต์รายชื่อจนผู้นั้นหมดโอกาสกับองค์กรไปเลย ขณะที่ในประเทศไทยยังไม่มีองค์กรใดใช้ระบบนี้ แต่อาจมีฝ่ายบุคคลบางแห่งที่จำได้และขึ้นแบล๊กลิสต์เองเท่านั้น ฉะนั้นแนะนำว่าต้องรู้จักปฏิเสธหากไม่พร้อม หรือปฏิเสธเพราะได้งานใหม่แล้ว” จุลเดชกล่าว
สมัครงานยุค 4.0
