ต้องดู! Black Mirror ที่สุดแห่งความโหดร้ายยุค’อารยธรรมเทคโนโลยี’ : คอลัมน์ เล่าเรื่องหนัง

ถ้ามีเทคโนโลยีที่ทำให้ดวงตาเราสามารถเห็นเหตุการณ์ย้อนหลังได้แบบทุกมุมมอง 360 องศา ประหนึ่ง “ฉายหนังซ้ำ” ซูมเข้าซูมออกได้ชนิดที่ว่าใครพูดโกหก สามารถนำภาพวิดีโอที่บันทึกผ่านดวงตามาเปิดแฉได้ คุณจะสนใจทดลองเทคโนโลยีนี้ดูไหม?

และถ้าชีวิตจริงเราสามารถบล็อก หรืออันเฟรนด์ อันฟอล์โลว์ผู้คนในโลกจริงได้ แบบไม่ต้องทำกันแค่ในโซเชียลมีเดีย เพียงแค่คุณกดปุ่มชี้ใส่เขาหรือเธอ ทั้งเขาและคุณจะไม่สามารถมองเห็นหน้าตา และไม่ได้ยินเสียงกันให้ระคายตา ระคายหู คุณอยากจะลองใช้เครื่องมือนั้นหรือไม่?

ถ้าโลกมาถึงขั้นที่กฎเกณฑ์มารยาททางสังคม ระเบียบต่างๆ ถูกให้คะแนน หรือให้เรตติ้งได้จากผู้คนทั่วไป เหมือนโพสต์รูปลงอินสตาแกรมแล้วมีเพื่อนกดถูกใจมากมาย หรือจะกดลดเรตติ้ง เพิ่มเรตติ้งได้ แล้วแต่พฤติกรรมและความถูกชะตา กระทั่งเรตติ้งเสมือนเป็น “แต้มบุญ” ในชีวิต คุณอยากลองให้วิถีชีวิตนี้เกิดขึ้นในสังคมหรือไม่?

เหนือสิ่งอื่นใด ถ้าเทคโนโลยีในอนาคตไปในขั้นสุดจนสามารถเคลื่อนย้ายความทรงจำ ความรู้สึกนึกคิด ความเป็นตัวเราจากสมองไปไว้ในวัตถุอื่นใดได้ ไม่ว่าจะไปไว้ในคน สิ่งของ หรือแม้แต่เคลื่อนย้ายไว้ในระบบอัจฉริยะเพื่อทำหน้าที่ “รับใช้” ตัวเราเอง เพราะใครจะเข้าใจเราเท่ากับตัวเรา…คุณคิดว่าแบบนี้ดีหรือไม่?

Advertisement


ทั้งหมดที่เล่ามาอาจฟังดูเข้าใจยาก เหลือเชื่้อ บ้าบอ แต่นี่คือบางเรื่องราวในซีรีส์ Black Mirror ซีรีส์เข้มข้นที่นำเสนอโลกในยุคที่เรียกว่าเป็น “อารยธรรมเทคโนโลยี” ในอนาคตที่ “อาจเป็นไปได้” ด้วยเนื้อหาที่แม้แต่ใครที่ชอบเรื่องราวด้านเทคโนโลยีอาจต้องรู้สึกสยอง เพราะโลกอนาคตที่เราพึ่งพิงเทคโนโลยีอย่างสูงนั้น แม้จะอำนวยความสะดวกสบายนานัปการ สร้างความมั่นคงปลอดภัย แต่ด้านหนึ่งเมื่อเทคโนโลยีปรนเปรอมนุษย์ในทุกมิติ มันก็มีราคา “ด้านมืด” สุดโหดที่ตามมา

Black Mirror เป็นซีรีส์ระดับปากต่อปาก ที่เนื้อหาทั้งสะดุ้งและกระทุ้งให้เราคิดตาม เรื่องราวโลกสมัยใหม่ ยุคที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทสำคัญจนถึงขั้นทำลายล้างจิตวิญญาณมนุษย์

ตัวซีรีส์แรกเริ่มเป็นซีรีส์สัญชาติอังกฤษฉายครั้งแรกเมื่อปี 2011 ผลงานสร้างของ “ชาร์ลี บรู๊คเกอร์” และ “แอนนาเบล โจนส์” บรู๊คเกอร์นั้น มีผลงานสุดคัลท์จากมินิซีรีส์ที่สนองแฟนซอมบี้ในระดับเล่นโหด แต่เล่าได้อย่างมีชั้นเชิงอย่าง Dead Set มาแล้ว

Advertisement


สำหรับซีรีส์ Black Mirror ฉายที่อังกฤษ 2 ซีซั่น กระทั่ง “เน็ตฟลิกซ์” ธุรกิจให้บริการสตรีมมิ่งวิดีโอและบริษัทผลิตคอนเทนต์ดังจากสหรัฐ ซื้อลิขสิทธิ์สร้างต่อในซีซั่น 3 และ 4 ซึ่งซีซั่นล่าสุดออกอากาศปลายปีที่ผ่านมา ตัวเรื่องยังคงสร้างเรตติ้งความแรงต่อเนื่อง และขยายฐานคนดูได้เพิ่ม ทำให้ได้ไฟเขียวสร้างซีซั่น 5 กันต่อ

ภาพรวมตัวซีรีส์มีความดาร์ก และระทึกซ่อนอยู่ในทุกตอนว่าจะมีเทคโนโลยีไหนสำแดงฤทธิ์เดชออกมา กระนั้นกลับน่าสนใจอย่างย้อนแย้งว่าในตอนที่ชื่อ San Junipero ซึ่งจัดเป็นตอนที่สดใสที่สุดของ Black Mirror เล่าเรื่องราวความรักผ่านเทคโนโลยีทะลุมิติสุดล้ำ ซึ่งตอนนี้กลับได้รับรางวัลซีรีส์ที่มีตอนโดดเด่นที่สุดจากเวทีเอมมี่ อวอร์ด

แปลว่าใครๆ ก็อยากเห็นเทคโนโลยีสุดล้ำเป็นมิตรต่อผู้คนมากกว่าจะโหดร้ายต่อมนุษย์

แต่พื้นที่ส่วนใหญ่ของ Black Mirror ได้สะท้อนให้เราเห็นเทคโนโลยีที่ได้สร้างระเบียบโลกใหม่ เมื่อมนุษย์กลายเป็น “ทาสสมัยใหม่” และเทคโนโลยีคือ “พระเจ้า” แห่งอารยธรรมนี้ ตั้งแต่เกิดจนตาย

แม้โลกที่คิดค้นและพัฒนาเทคโนโลยี อาจจะหวังสร้างเทคโนโลยีที่ “เข้าใจมนุษย์” และหวังจะมีความเป็นมนุษย์อยู่ในเทคโนโลยีนั้น แต่ท้ายสุดกลับไร้ซึ่งความเข้าใจในตัวมนุษย์อย่างสิ้นเชิง


ชื่อซีรีส์ Black Mirror เปรียบเสมือนจอสกรีน หรือจอเทคโนโลยีที่อยู่รอบตัวเราทุกหนแห่ง ตั้งแต่จอสมาร์ทโฟน จอคอมพิวเตอร์ จอโทรทัศน์ จอแอลซีดี จอสมาร์ทวอทช์ ที่เมื่อเรากดปิดจอลง จอนั้นจะเป็น “สีดำ”

Black Mirror จึงพูดกับเราว่า จ้องไปในจอสีดำที่สะท้อนออกมานั่นสิ! แล้วมนุษย์จะเห็นตัวเอง ทั้งในฐานะผู้สร้างและผู้ทำลาย

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image