เปิดโปรไฟล์ 5 ทายาทตระกูลดัง ‘ไฮโซรุ่นใหม่ไฟแรง’ น่าจับตามอง!

ช่วงไม่กี่ปีนี้ แวดวงสังคมคึกคักไปด้วยเหล่าไฮโซ เซเลบริตี้หน้าใหม่ๆ มากขึ้น โดยเฉพาะเหล่าทายาทนักธุรกิจ และตระกูลดังหลายคนที่ออกมาเรียกความสนใจได้ไม่น้อย

ซึ่งมติชนได้รวบรวมเหล่า ทายาทคนดัง โปรไฟล์เลิศ ที่น่าจับตามองช่วงนี้มาทำความรู้จักกัน

บิ๊ก-ธนพนธ์ เบญจรงคกุล

เป็นสมาชิกครอบครัวนักธุรกิจแถวหน้า ตระกูลใหญ่ของเมืองไทย “เบญจรงคกุล” แต่ชื่อของ “บิ๊ก” ธนพนธ์ เบญจรงคกุล เพิ่งเป็นที่รู้จักเมื่อไม่นานมานี้ หลังจากเขาเดินทางกลับจากเมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย ซึ่งใช้ชีวิตอยู่นานกว่า 20 ปี กลับมาอยู่เมืองไทยถาวร

กับน้องสาว

 

Advertisement

“ผมย้ายไปอยู่เมลเบิร์นกับคุณแม่และน้องสาวตั้งแต่ 7 ขวบ อยู่ที่เมลเบิร์นก็จะมีสังคมอีกแบบหนึ่ง ด้วยความที่ชอบกีฬามาก ทั้งฮอกกี้ บาสเก็ตบอล วอลเลย์บอล กอล์ฟ และฟุตบอล หลังจากเรียนจบปริญญาตรีด้าน Hospitality Management ที่ Box Hill Institute

ผมเลยเลือกเรียนต่อบริหารธุรกิจด้าน Sports Management ที่ Deakin University เพราะรู้ว่าเราคงรักในเรื่องกีฬา พอจบมาก็ได้งานเป็นคุณครู มีบ้าน มีเพื่อน มีสังคมอยู่ที่นู่น ก็เลยไม่คิดว่าจะได้กลับมา จนกระทั่ง คุณแม่ (รัตนาภรณ์ ศรีธารา) ไม่สบาย ก็เลยคิดว่าเราควรกลับมาดูแลท่าน”

Advertisement

หลังจากกลับมาเมืองไทย ธนพนธ์จึงได้เข้าไปช่วย คุณพ่อ (สมชาย เบญจรงคกุล) ที่บริษัท ยูไนเต็ด อินฟอร์เมชั่น ไฮเวย์ จำกัด ดูแลงานด้านระบบการสื่อสาร อย่างติดตั้งอุปกรณ์ไฟเบอร์ให้องค์กรต่างๆ รวมไปถึงเรื่องความปลอดภัยให้กับธนาคาร ซึ่งเขาเองบอกว่าต้องเรียนรู้ใหม่เกือบทั้งหมด

“แม้ว่าเรื่องการสื่อสารเป็นเรื่องไกลตัว แต่โชคดีที่ผมเป็นคนปรับตัวไว คุณพ่อบอกว่าหากไม่ชอบก็ลองเปลี่ยนได้ ค่อยๆ เรียนรู้ไป เพราะวันหนึ่งทุกคนก็ต้องไปช่วยดูแลธุรกิจในกลุ่มเบญจจินดาทั้งหมด”

“ผมโชคดีที่มีลูกพี่ลูกน้องคอยให้คำปรึกษาที่ดี ทุกคนในเจเนอเรชั่นของเราวัยไล่เลี่ยกัน และก็สนิทกัน นั่นเพราะรุ่นคุณพ่อเป็นตัวอย่างให้เราเห็น แม้ทุกคนจะแยกย้ายไปอยู่ต่างประเทศ อเมริกา ออสเตรเลีย อังกฤษบ้าง แต่เราก็รู้ว่าหากมีปัญหาอะไร ก็มีคนพร้อมที่จะช่วยเหลือเรา”

บรรดาลูกพี่ลูกน้องที่น่ารัก

ส่วนสเปกสาวของหนุ่มบิ๊กนั้น ก็ขอแค่เป็นคนที่จิตใจดี รักครอบครัว และรักคุณแม่ของเขาก็เพียงพอแล้ว

ณัฐ-ณิชชา ธนาลงกรณ์

เพิ่งแจ้งเกิดเต็มตัวให้เหล่าคนแฟชั่นได้รู้จักกันมากขึ้น กับแบรนด์ “ณิชา” ในงานแอล แฟชั่น วีค 2018 ทำให้ชื่อของดีไซเนอร์น้องใหม่ “ณิชชา ธนาลงกรณ์” กำลังเป็นที่พูดถึงในแวดวงไม่น้อย

แม้ว่าชื่อของเธออาจจะใหม่ แต่โปรไฟล์ไม่ธรรมดา ณิชชาในวัย 27 ปี เป็นลูกสาวของ โสฬส เอี่ยมอมรพันธ์ และวิยะดา ธนาลงกรณ์ ทายาทของจินตนา ธนาลงกรณ์ เจ้าของแบรนด์ชุดชั้นในจินตนานั่นเอง ความที่เธอเติบโตมากับคุณยายตั้งแต่เล็ก ทำให้เธอเลือกสานต่อสิ่งทอหลังจากเรียนจบด้านศิลปะที่ อะคาเดมี ออฟ อาร์ต ที่ซานฟรานซิสโก สหรัฐ ด้วยการเปิดแบรนด์ “ณิชา” ของตัวเอง

“ตอนที่เรียนจบ ณัฐก็คิดว่าศิลปะจะมาผสานกับอะไรได้ อย่างบ้านเราเชี่ยวชาญเรื่องนี้ ก็เลยเริ่มจากทำผ้าพันคอลายพรินต์ก่อน แล้วค่อยๆ เขยิบไปที่เสื้อผ้า แน่นอนการที่เรากระโจนเข้าไปทำแบบนี้ ทำให้เจอปัญหาอยู่มาก แรกๆ จึงเป็นแบบเจอไปแก้ไป จนจุดหนึ่งก็ต้องทบทวนตัวเอง ไปเรียนตัดเย็บเพิ่ม เรียนรู้ไปผ่านการลงมือทำ”

จากวันแรกจนวันนี้ 4 ปีครึ่ง เธอได้สร้างแบรนด์ให้ก้าวสู่อินเตอร์ ทั้งเวียนนา แฟชั่น วีค รวมไปถึงแวนคูเวอร์ แฟชั่น วีค ที่กำลังติดต่อเข้ามา

ซึ่งคุณยายมีอิทธิพลในการทำงานอย่างมาก

ณิชชาเผยว่า แม้คุณยายจะไม่เคยสอนเรื่องธุรกิจเรามาเพราะท่านเสียไปก่อน แต่เราก็เรียนรู้ผ่านวิธีการทำงานของท่าน จากประสบการณ์ อย่างเรื่องหนึ่งที่ณัฐคิดตลอด คือท่านเป็นคนใจใหญ่ ตอนที่เราเปิดจินตนาได้จุดหนึ่ง มีลูกน้องที่คุณยายไว้ใจ พาลูกน้องส่วนหนึ่งออกไปเปิดแบรนด์ชุดชั้นในแข่งกับเรา ซึ่งไม่เพียงแต่คุณยายจะไม่ว่า แต่ยังให้เงินเขาไปทำด้วย คุณยายบอกว่าหากเราดูแลลูกน้องของเราดี เขาจะไม่ไปไหน หรือหากจะไปเราก็ได้แต่อวยพรให้เขา

“นี่เป็นสิ่งที่ณัฐนำมาปรับใช้ ดูแลคนที่อยู่กับณัฐให้ดี”

นิ่ม-สาริศา ล่ำซำ

เป็นเซเลบสาวหน้าใหม่อีกคนที่น่าจับตามอง สำหรับ “นิ่ม-สาริศา ล่ำซำ” ลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนของคุณพ่อ สาระ และคุณแม่สลิล ล่ำซำ แห่งเมืองไทยประกันชีวิต

อดีตสาวเดบูตองส์ จากโรงเรียนมาแตร์เดอีวิทยาลัยคนนี้ กำลังศึกษาอยู่ชั้นปีที่ 3 คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ภาคอินเตอร์ เพราะอยากเดินตามรอยคุณพ่อ หลังจากที่เข้าไปฝึกงานในบริษัทแล้วรู้สึกชอบเรื่องตัวเลข เรื่องธุรกิจต่างๆ ซึ่งทุกวันนี้ก็มีคุณพ่อเป็นที่ปรึกษาที่ดี เวลาที่มีโปรเจ็กต์ธุรกิจที่ต้องการคำแนะนำ

ซึ่งรั้วมหาวิทยาลัยนี่เอง ที่เธอบอกว่าทำให้โตขึ้น โดยเฉพาะเมื่อได้เป็น “เชียร์ลีดเดอร์” ของคณะ

“ความที่ต้องซ้อมหนักมาก ทุกวันจนถึงเที่ยงคืน ซึ่งเราไม่เคยเจอหนักขนาดนี้มาก่อน เน้นให้เรามีวินัยและทีมเวิร์ก ทำอะไรต้องทำด้วยกัน เราจึงกลายเป็นคนมีความอดทน ไม่ท้อง่ายๆ กลายเป็นคนง่ายๆ ที่ทำอะไรก็ได้”

และตั้งแต่เข้ามหาวิทยาลัยนี่เอง ที่สาริศาเริ่มจัดทริปออกท่องเที่ยวกับเพื่อนๆ ทั้งหาโรงแรม จองตั๋วเครื่องบิน ทำทุกอย่างด้วยตัวเอง สะพายกล้องไลก้า คิว ที่คุณพ่อให้มา เก็บประสบการณ์และความทรงจำ เปิดโลกให้ตัวเองได้มากขึ้น

นิ่มเผยว่า การเดินทางสำหรับนิ่มคือการได้เห็นอะไรที่ไม่เคยได้เห็น ได้เห็นวัฒนธรรมที่แตกต่าง ได้กินอะไรที่ไม่เคยกิน เช่น ทริปที่ไปแชงกรีล่า ประเทศจีน ได้เห็นเขากินจามรีกัน ซึ่งมันแปลกมาก เราก็ไม่เคยได้เห็นมาก่อน หรืออย่างทริปล่าสุดไปบาหลีกับเพื่อน เราดันไปช่วงที่เพิ่งเกิดแผ่นดินไหวหนักๆ เราก็แทบไม่ได้นอน ต้องอยู่ตรงล็อบบี้เพราะปลอดภัยที่สุด ก็เป็นประสบการณ์ที่หาไม่ได้อีก

“เวลาไปเที่ยว นิ่มมักไม่ลืมที่จะถ่ายภาพเก็บไว้ ส่วนใหญ่เป็นภาพคนกับวิวสวยๆ เพราะไม่ว่ากลับมามองครั้งใด เราก็จะจดจำเรื่องราวในวันนั้นได้ไม่ลืม”

ปรินซ์-ปรินท์ สารสิน

เรียกว่าเป็นผู้บริหารหนุ่มอารมณ์ดี มากความสามารถ กำลังสำคัญของทีมบริหาร “โกลว์ ฟิช” ธุรกิจโค เวิร์กกิ้ง สเปซ ที่มาแรงแห่งยุค

สำหรับ “ปรินซ์” ปรินท์ สารสิน ลูกชายของกลินท์ สารสิน ประธานสภาหอการค้าไทย และเพชรพริ้ง สารสิน อดีตผู้อำนวยการใหญ่ฝ่ายภาพลักษณ์และสื่อสารองค์กร การบินไทย หลานของ พล.ต.อ.เภา สารสิน อดีตรองนายกรัฐมนตรีและอธิบดีกรมตำรวจ เพิ่งจะแต่งงานไปไม่นานมานี้กับ ผักกาด-มุทิตา สารสิน

หลังจากจบการศึกษาปริญญาตรีด้านการผลิตรายการโทรทัศน์ ที่ Savannah College of Art and Design และปริญญาโทด้านการบริหารจัดการสื่อ The New School สหรัฐอเมริกา ปรินท์ก็เลือกที่จะออกไปเก็บเกี่ยวประสบการณ์ด้วยตัวเอง

“ตั้งแต่เล็ก คุณพ่อคุณแม่จะคอยผลักดันให้ออกไปทำอะไรเอง ไปทดลอง หาประสบการณ์ และเติบโตด้วยตัวเอง”

เมื่อ โกลว์ ฟิช เปลี่ยนโฉมจากพื้นที่ให้เช่า มาเป็นคอมมูนิตี้ ทำให้ปรินท์ก้าวเข้ามามีบทบาทสำคัญในการสร้างพื้นที่สำหรับการใช้ชีวิต ได้ออกกำลังกาย ดูคอนเสิร์ต ทานอาหาร ซึ่งผู้บริหารหนุ่มมองว่าได้นำความรู้ที่มีมาประยุกต์สร้างพื้นที่ให้กลายเป็นสื่อ สร้างแบรนดิ้งให้กับมันได้

“ที่เลือกเรียนสื่อก็เพราะผมชอบเจอคน ได้เจออะไรใหม่ๆ ซึ่งแน่นอนทุกวันนี้สื่อมันไม่ได้จำกัดแค่โทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ วิทยุ แต่มันกว้างไปกว่านั้น สเปซก็เป็นสิ่งหนึ่งที่กลายเป็นสื่อได้ เพียงแต่เราต้องรู้จักพัฒนาออกไป ให้สามารถสร้างสิ่งที่ดีกับสังคมได้”

“ผมมองว่าการทำงานก็ส่วนหนึ่ง แต่เราต้องมีเวลากับครอบครัวด้วย เวลาพักต้องพักจริง ส่วนใหญ่เราก็จะออกไปเที่ยวบ้าง และก็เน้นให้คนที่ทำงานกับเราไปเที่ยวเช่นกัน เพราะไม่อยากให้เขาคิดแต่เรื่องงานตลอดเวลา คือหากเขาไปเที่ยวแล้วเขานำประสบการณ์มาแอพพลายกับการทำงานก็ส่วนหนึ่ง”

“จะทำให้ทีมงานของเรามีประสิทธิภาพจริงๆ”

เภา-ทองเทพ เทพกาญจนา

เช่นเดียวกับคนรุ่นใหม่ไฟแรงหลายคน ที่มีความกระหายอยากจะพิสูจน์ความสามารถของตัวเอง คนหนุ่มวัย 22 ปีอย่าง เภา-ทองเทพ เทพกาญจนา ก็เป็นหนึ่งในคนเหล่านั้น ที่อยากสร้างอนาคตด้วย 2 มือของเขาเอง

ตั้งแต่เด็ก เภาได้เห็น คุณพ่อ สิงหเทพ และคุณแม่ พรสวรรค์ เทพกาญจนา ริเริ่มธุรกิจของทั้งคู่ด้วยตัวเอง สร้างอสังหาริมทรัพย์ โรงงานขนมปัง และสปา จนทำให้เภามองว่าคนเราประสบความสำเร็จได้ด้วยตัวเอง มิใช่แค่สานต่อกิจการครอบครัว หลังจบการศึกษาปริญญาตรีด้านเศรษฐศาสตร์ ที่มหาวิทยาลัยมหิดล ภาคอินเตอร์ เขาจึงเข้าไปศึกษาธุรกิจอาหารญี่ปุ่น

กับคุณแม่และน้องชาย

“ผมมองว่าหากเราเริ่มทำธุรกิจจากอะไรที่เล็กๆ ใช้เงินของเราเอง พลาดมาก็ไม่ได้เจ็บตัวมาก จึงเริ่มเข้าไปศึกษาร้านอาหารก่อน ด้วยความอยากได้ประสบการณ์ล้วนๆ จะกำไรหรือไม่ ไม่ได้คิดถึงเลย ผมได้เรียนรู้ว่าการทำงานกับพาร์ทเนอร์ที่เราไม่รู้จักเลยเป็นอย่างไร พนักงานขาดเราก็ลงไปทำแทน คิดเงิน เสิร์ฟ จนรู้ทุกขั้นตอน ซึ่งตอนนี้ความรู้ที่ได้มันเป็นกำไรมากกว่านั้นแล้ว”

หลังจากเก็บเกี่ยวประสบการณ์ได้มากพอ เภากำลังริเริ่มโปรเจ็กต์นำร้านอาหารดังจากลาวมาเปิดที่ประเทศไทย ซึ่งเป็นอาหารที่เขาคิดว่าน่าจะถูกปากคนไทย ทำให้ช่วงนี้ต้องบินไปมาระหว่างไทย-ลาวอยู่บ่อยๆ และพร้อมจะได้เห็นในไม่ช้านี้

และแน่นอนว่าเมื่อเติบโตในบ้านเทพกาญจนา ย่อมทำให้ถูกถามถึงเรื่องบทบาททางการเมืองอยู่บ้าง

“คุณปู่ของผมกับคุณอาโหน่ง (พงศ์เทพ เทพกาญจนา) เล่นการเมืองมาด้วยกัน แต่คุณปู่ของผมท่านเสียไปเร็ว ในเรื่องการเมืองจึงได้เห็นมาตั้งแต่เด็ก หากถามว่าอยากทำไหม ส่วนตัวผมก็อยากเล่น แต่คำว่าเล่นมันเหมือนทำไปอย่างนั้นๆ ความจริงคนที่เข้าไปก็ควรเข้าไปด้วยความคิดอยากพัฒนาประเทศมากกว่า ซึ่งหากผมจะเข้าไปเล่น ก็อยากจะประสบความสำเร็จกับสิ่งที่ผมทำก่อน เราอาจบริหารงานในบริษัทที่มีคน 100 หรือ 1,000 คนสำเร็จ แต่ก็น้อยกว่า 68 ล้านคนมาก หากจะเข้าไปเราก็ต้องมั่นใจแล้วจริงๆ”

“ผมเองเป็นคนค่อนข้างตรง เข้าใจคนได้เยอะ ผมมองว่าทุกคนมีเหตุผล มีเรื่องราวอีกมากที่เราไม่รู้ คนเราบางคนอาจจะไม่ดีเลย ผมก็คิดว่าไม่เป็นไร เขาอาจจะดีขึ้นนับแต่วันนี้ได้ ทุกอย่างในโลกเป็นสิ่งไม่ขาวไม่ดำ หากไม่ดีก็แค่ไม่เข้าไปยุ่งเท่านั้นเอง”

 

 

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image