ที่มา | มติชนรายวันหน้า 18 |
---|---|
เผยแพร่ |
นอกจากขบวนพาเหรดล้อการเมือง การแข่งขันฟุตบอลคู่สำคัญ และการแปรอักษรที่สร้างสีสันให้กับงานฟุตบอลประเพณีจุฬาฯ-ธรรมศาสตร์ ในแต่ละครั้งแล้ว ยังมีอีกหนึ่งส่วนสำคัญอันอยู่คู่กับงานประเพณีมาอย่างยาวนาน
เชียร์ลีดเดอร์มธ. – นั่นคือ “ผู้นำเชียร์” หรือ “เชียร์ลีดเดอร์” ของทั้ง 2 สถาบันที่มีหน้าที่หลักในการเป็นผู้นำขบวนพาเหรด คอยให้จังหวะในการเชียร์ แปรอักษร และให้กำลังใจนักกีฬาภายในสนาม
สร้างความพร้อมเพรียง สะท้อนความสามัคคี และความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ออกมาได้ประทับใจผู้ได้ชมทุกปี
แต่เส้นทางการเข้ามาเป็น “เชียร์ลีดเดอร์แห่งมหาวิทยาลัย” ก็ไม่ง่าย
เพราะด้วยจำนวนโควต้า “มีจำกัด” สวนทางกับบรรดาผู้มีฝันที่ “เกิน” จำนวน
จึงต้องมีการ “เฟ้นหา” ผู้ที่มีคุณสมบัติเหมาะสมและมีความสามารถตรงตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้
เช่นเดียวกับที่ ชุมนุมเชียร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้จัดงานคัดเลือกเชียร์ลีดเดอร์แห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ประจำงานฟุตบอลประเพณีจุฬาฯ-ธรรมศาสตร์ ครั้งที่ 73 ขึ้น
เพื่อคัดเลือกเชียร์ลีดเดอร์เพียง 15 คน จากผู้เข้าสมัครทั้งหมด 371 คน
จนกระทั่งทราบผลผู้รับตำแหน่ง “เชียร์ลีดเดอร์แห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รุ่นที่ 73” ในที่สุด ประกอบด้วย ชาย 7 คน และหญิง 8 คน
สร้าง “รอยยิ้มและหยาดน้ำตา” ทั้งจากความดีใจและเสียใจ
แต่เมื่อทำเต็มที่แล้วจึงไม่มีอะไรต้องเสียใจ ผู้เข้าร่วมคัดเลือกบางรายยังมีโอกาสเข้าร่วมได้อีกในปีต่อๆ ไป
ดังเช่น ธนธร เสนางคนิกร หรือไตเติ้ล น.ศ.ชั้นปีที่ 2 คณะวิศวกรรมศาสตร์ ที่เข้าร่วมรอบคัดเลือกเชียร์ลีดเดอร์เป็นครั้งที่ 2 หลังจากที่ปีก่อนเขาไม่ผ่านการคัดเลือก
“เพราะรู้สึกว่าปีที่แล้วยังทำได้ไม่เต็มที่ของขีดความสามารถ เลยอยากลองใหม่อีกครั้ง โดยกลับไปฝึกซ้อมร่วมกับชุมนุมเชียร์ของคณะ ได้เรียนรู้การเป็นผู้นำผ่านการฝึกซ้อมน้องๆ เชียร์ลีดเดอร์ที่เข้ามาใหม่ เป็นช่วงเวลาที่ได้ทบทวนตัวเองและมองย้อนกลับไปในช่วงที่เราอยู่ปี 1 ว่าควรต้องพัฒนาหรือเสริมทักษะตรงจุดไหนอีก” เชียร์ลีดเดอร์รุ่นใหม่ถอดด้ามกล่าว และว่า
วันนี้ได้มาเป็น “ตัวจริง” ของมหาวิทยาลัยแล้ว เขารู้สึกพร้อมเกิน 100 เปอร์เซ็นต์!
ส่วนวิธีรับมือกับ “การแข่งขัน” ที่สูงขึ้น ไตเติ้ลบอกว่า “ทุกคนเข้ามาเพราะอยากเป็นอยู่แล้ว เลยต้องพยายามพรีเซนต์ตัวเองให้เข้าตากรรมการ เพราะฉะนั้นวิธีรับมือที่ดีที่สุดก็คือต้องพยายามให้ได้มากกว่าหรือเท่ากับเพื่อนๆ เพราะทุกคนมีโอกาสเท่าเทียมกันหมด และทำให้เต็มที่เพื่อจะได้ไม่ต้องมาเสียใจภายหลัง”
ขณะเดียวกัน พลอยไพลิน ลิมปนเวทยานนท์ หรือพลอย น.ศ.ชั้นปีที่ 3 คณะศิลปกรรมศาสตร์ ผู้ซึ่งไม่เคยมีประสบการณ์ด้านการเป็นเชียร์ลีดเดอร์มาก่อน แต่อาศัยใจรักใน “การเต้น” ซึ่งเป็นหนึ่งในคุณสมบัติของการเป็นเชียร์ลีดเดอร์
โดยเธอบอกว่า “สักครั้งหนึ่งในรั้วมหาวิทยาลัย อยากจะลองเต้นแบบเชียร์ลีดเดอร์ดูบ้าง”
ซึ่งภายหลังที่ได้ร่วมซ้อมท่วงท่าการลีดกับเพื่อนๆ เธอก็ค้นพบว่า “มีความสุขที่ได้เต้นแบบนี้”
และแน่นอนว่าเพื่อความเป๊ะ! การซักซ้อมของชุมนุมเชียร์ก็ไม่ง่าย แต่เรื่องนี้เธอไม่กังวล เพราะตลอดระยะเวลา 3 ปีในรั้วมหาวิทยาลัยเธอจัดการได้เป็นอย่างดี โดยการ “บริหารจัดการเวลา”
“ต้องมีการวางแผนการแบ่งเวลา โดยพลอยจะดูว่าเทอมนี้มีเรียนตัวไหนบ้าง ต้องเรียนกี่โมง กี่ชั่วโมง เพื่อบริหารระหว่างเวลาเรียนและการทำกิจกรรมให้ลงตัว พลอยไม่เปรียบเทียบว่าอะไรสำคัญกว่ากัน เพราะเชื่อว่าสามารถบริหารเวลาให้ทั้งสองอย่างดำเนินควบคู่กันไปได้” พลอยกล่าวด้วยน้ำเสียงสดใสและทิ้งท้ายว่า
“ทุกคนมีฝัน แต่ต้องอย่าลืมไขว่คว้าหาโอกาสที่จะทำให้ฝันนั้นเป็นจริงด้วย เพราะว่าผลลัพธ์ที่จะได้นั้นอยู่ที่การลงมือทำ”
เช่นเดียวกับ สองเฟรชชี่! น.ศ.ชั้นปีที่ 1 ที่ผ่านการคัดเลือกเข้ามาเป็นเชียร์ลีดเดอร์ของมหาวิทยาลัย เดชิษฐ์ ดาวแสงเพชร หรือกุ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และปาณิสรา พูลพิพัฒน์ หรือมิ้น คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี ซึ่งมีความเห็นสอดคล้องกันว่า การเป็นเชียร์ลีดเดอร์ต้องมีความเป็นผู้นำมาก่อนในอันดับแรก แต่สิ่งที่สำคัญกว่าคือตัวผู้นำเชียร์เองต้องรู้สึกมีความสุขและสนุกกับสิ่งที่ทำอยู่ด้วย ตลอดจนมีความสามารถในการทำงานเป็นทีม และมีความรับผิดชอบในหน้าที่ทั้งด้านการซ้อมและการเรียน
ส่วนเคล็ดลับในการดูแลตัวเองหลังการซักซ้อมอย่างหนัก ปาณิสราเผยเคล็ดลับว่า เวลาซ้อมเหงื่อจะออกเยอะมาก จะต้องดูแลเรื่องความสะอาด เช่น ล้างหน้า และทาครีมบำรุงผิวที่ดี รวมทั้งเลือกกินอาหารที่มีประโยชน์ โดยเฉพาะจำพวก “โปรตีน” ที่ให้พลังงานสำหรับมาใช้ในการฝึกซ้อม
ความฝันต้องเกิด “หยาดเหงื่อ” จึงได้มา
อ่าน ที่แรก! เผยโฉม ‘เชียร์ลีดเดอร์’ รุ่น 73 หนุ่มสาว ‘ลูกแม่โดม’ น่ารักกรุบกริบดีต่อใจ (คลิป)