มรสุม ‘ผู้หญิง’ ในการเมือง จาก ‘ยิ่งลักษณ์’ ถึง ‘โบว์’ ประเทศได้ประโยชน์อะไร

จากคลิปฉาว “นักการเมืองดัง” กับ “นักกิจกรรมหญิง” ที่ว่อนอยู่ในโลกโซเชียลจนนำมาซึ่งกระแสวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างกว้างขวาง

ได้สะท้อนภาพ “การเมืองไทย” ที่ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ยุคกี่สมัย ก็ยังเหมือนเดิม

เมื่อผู้หญิงเข้าสู่สนามการเมือง ไม่ว่าจะในฐานะ “นักการเมือง” หรือ “นักเคลื่อนไหวทางการเมือง”

“มรสุม” ที่ผู้หญิงเจอ กลับไม่ใช่การวิพากษ์วิจารณ์เรื่องผลงาน หากเป็น “เรื่องเพศ” ที่ต้องตกเป็นเหยื่อ

นี่ไม่ใช่ “ครั้งแรก” ที่ผู้หญิงถูกลากมา “รุมทึ้ง” กลางสี่แยก

ADVERTISMENT

ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศไทย โดนมาแล้ว นับครั้งไม่ถ้วน

ตั๊น-จิตภัสร์ กฤดากร ก็ไม่ต่างกัน

และหลายครั้งผู้กระทำมาจากผู้หญิง ผู้หญิงด้วยการก็สร้างความรุนแรงต่อผู้หญิงด้วยกันเอง

เป็นการกระทำที่รุนแรง และไม่เคารพสิทธิการเป็นมนุษย์ อคติและเหยียดหยามทางเพศ ซึ่งขัดต่อหลักศีลธรรมอันดีงาม และหลักกฎหมายตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 โดยเฉพาะในมาตรา 27 บุคคลย่อมเสมอกันในกฎหมาย มีสิทธิและเสรีภาพและได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายเท่าเทียมกัน

ชายและหญิงมีสิทธิเท่าเทียมกัน

การเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อบุคคล ไม่ว่าด้วยเหตุความแตกต่างในเรื่องถิ่นกำเนิด เชื้อชาติ ภาษา เพศ อายุ ความพิการ สภาพทางกายหรือสุขภาพ สถานะของบุคคลฐานะทางเศรษฐกิจหรือสังคม ความเชื่อทางศาสนา การศึกษาอบรม หรือความคิดเห็นทางการเมืองอันไม่ขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ หรือเหตุอื่นใด จะกระทำมิได้

และมาตรา 32 บุคคลย่อมมีสิทธิในความเป็นอยู่ส่วนตัว เกียรติยศ ชื่อเสียงและครอบครัว การกระทำอันเป็นการละเมิดหรือกระทบต่อสิทธิของบุคคลตามวรรคหนึ่งหรือการนำข้อมูลส่วนบุคคลไปใช้ประโยชน์ไม่ว่าในทางใดๆ จะกระทำมิได้ เว้นแต่โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่ตราขึ้นเพียงเท่าที่จำเป็นเพื่อประโยชน์สาธารณะ

ไม่เพียงเท่านั้น ไทยยังได้ร่วมลงนามอนุสัญญาว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรีในทุกรูปแบบ (CEDAW) แห่งสหประชาชาติ

การกระทำเช่นนี้ อาจทำให้นานาชาติมองว่า เรายังไม่เข้าใจประเด็นผู้หญิง

“ฉุด” ประเด็นสิทธิความเท่าเทียมทางเพศที่พัฒนาขึ้นมากแล้ว ให้ “ถอยหลัง” เข้าคลอง

และอาจนำไปสู่การการสร้างความเกลียดชังกันมากขึ้น

เมื่อไหร่การเมืองไทยจะสู้กันอย่างสร้างสรรค์?

คำถามนี้อาจเกิดขึ้นในใจใครหลายคน ที่ลุกขึ้นมา “สะท้อน” ถึงประเด็นดังกล่าว

ที่เอาจริงๆ ไม่ได้สร้างประโยชน์และแก้ปัญหาใดๆ ให้กับคนในชาติแม้สักเล็กน้อย

วิธีที่ดีที่สุด คือ การสร้างทัศนคติเชิงบวก เห็นต่างได้ แต่ไม่ควรนำเรื่องเพศมาชี้วัด “ความดีงาม” ของมนุษย์