ดร.ป้ายแดง ‘เมย์ริสสรา จันทรรัตน์’ ใช้ธรรมชาติรังสรรค์ชีวิต ในวันที่ขอก้าวเดินเพื่อความสุข

ดร.ป้ายแดง

ดร.ป้ายแดง ‘เมย์ริสสรา จันทรรัตน์’ ใช้ธรรมชาติรังสรรค์ชีวิต ในวันที่ขอก้าวเดินเพื่อความสุข

ดร.ป้ายแดง – คร่ำหวอดอยู่ในวงการไฮโซ เซเลบริตี้มานานหลายสิบปี แต่ชื่อของ “เมย์ริสสรา จันทรรัตน์” ก็ยังคงได้เห็นอยู่ในแวดวง ไม่ห่างหายไป

แม้ว่าในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้อาจจะได้เห็นหน้าเธอน้อยลง เมื่อเธอเบรกงานสังคม ลดอีเวนต์ หันไปมุมานะ คร่ำเคร่งกับการเรียนปริญญาเอก ที่คณะมัณฑนศิลป์ สาขาศิลปะการออกแบบ มหาวิทยาลัยศิลปากร ที่ใช้เวลาถึง 8 ปี

ล่าสุด เธอก็สามารถคว้า “ดร.” มานำหน้าชื่อ สวมครุยรับปริญญาบัตรได้สำเร็จ

พิสูจน์ชัดว่า “อายุ” ไม่ใช่อุปสรรคของการศึกษา หากความพยายามและความอดทน เป็นแรงขับเคลื่อนใหญ่ให้ก้าวสู่จุดหมายได้สำเร็จ

Advertisement

ในบรรยากาศช่วงสาย เมย์ริสสรา จึงได้เปิดบ้าน เล่าเรื่องความยากลำบากในชีวิตการศึกษา พร้อมเปิดโปรเจ็กต์ใหม่เพื่อสิ่งแวดล้อมให้เราได้รู้จักเธอมากขึ้น

ย้อนกลับไปตั้งแต่วัยเด็ก เมย์ริสสราเล่าว่า เกิดในครอบครัวที่คุณพ่อคุณแม่เป็นครู ที่จังหวัดนครศรีธรรมราช ตั้งแต่อายุได้ 7 ขวบ ก็จะถูกส่งมาเรียนกรุงเทพฯ ด้วยความที่ชอบศิลปะมาก จึงเลือกเรียนต่อที่วิทยาลัยช่างศิลป์ แต่ด้วยมีพี่น้องถึง 12 คน ทำให้ต้องออกจากโรงเรียนมาเริ่มทำงาน โชคดีที่ช่างศิลป์สมัยนั้นเรียนทุกอย่างทั้งมัณฑนศิลป์ จิตรกรรม ประติมากรรม ศิลปะไทย เธอจึงเริ่มงานเป็นดีไซเนอร์เสื้อผ้าแบรนด์ไทยแบรนด์หนึ่ง ก่อนเขยิบไปออกแบบให้กับแบรนด์ต่างชาติ จนรู้สึกว่าเธอไม่เหมาะจะอยู่ใต้บังคับบัญชาของใคร มันเครียด ไม่อิสระ จนออกมาเปิดแบรนด์ของตัวเองชื่อ เมย์ ริส ซ่า ขายที่มาบุญครอง ใบหยก ตามนิตยสาร มีโรงงานผลิต ตัดเย็บเอง ออกแบบเอง ส่งออกไปทั้งในและต่างประเทศ

Advertisement

แต่แล้วก็ถึงจุดอิ่มตัวอีกครั้ง เมย์ริสสรา จึงหันมาเหมาทำออกาไนซ์ จัดงานอีเวนต์ ในชื่อ บริษัท เอส พี ออกาไนเซอร์ กรุ๊ป ครอบคลุมทั้งงานออกบูธ เดินแบบ และการประกวดต่างๆ อยู่นับ 10 ปี ใช้ความคิดสร้างสรรค์งานมากมาย ก่อนจะก้าวต่ออีกครั้ง เปลี่ยนมาทำสังฆทานตราใบโพธิ์ ออกขายตามห้างสรรพสินค้าต่างๆ รวมทั้งมีค่ายเพลงของตัวเอง ซื้อลิขสิทธิ์เพลงต่างๆ มาทำมิวสิกวิดีโอ

งานที่สามารถใช้ศิลปะประยุกต์นั้น เรียกว่าเธอนำมาสร้างเนื้อสร้างตัว จนมีการงานที่มั่นคง

“วันหนึ่ง เราก็คิดว่าหน้าที่การงานเราดีแล้ว แต่วุฒิการศึกษาเราไม่เป็นที่พอใจ”

หลังจากประสบความสำเร็จในเรื่องการงานแล้ว เมย์ริสสราจึงได้โอกาสกลับมาสานฝันการเรียนตั้งแต่วัยเยาว์ แต่ครั้งนี้ เธอไม่ได้เลือกเรียน “ศิลปะ” อย่างที่เธอชอบ แต่กลับหันไปเลือกเรียนวิชาการเมืองแทน

เมย์ริสสรา เผยว่า ด้วยความที่คุณพ่อเป็นอาจารย์ เป็นคนกว้างขวาง ถึงกับมีคนมาติดต่อให้ท่านไปลงสมัครเลือกตั้งด้วย ท่านก็คิดว่าในบรรดาพี่น้อง เราคงจะเหมาะกับทางด้านนี้ เราก็เลยไปเรียนรัฐศาสตร์ ที่รามคำแหง พอเรียนจบก็ไปศึกษาปริญญาโทรัฐศาสตร์ การเมืองการปกครอง ที่ธรรมศาสตร์ แต่กลายเป็นว่าเราไม่ชอบการเมืองเลย เพราะเราเป็นคนพูดตรง คนตรง คงไม่รอด ยิ่งในแวดวงการเมืองผู้หญิงถูกสาดโคลนเยอะ ก็มานั่งคิดและรู้ว่าจริงๆ แล้ว เราชอบศิลปะ ก็ได้เข้าไปบอกคุณพ่อ”

จนนำมาซึ่งคำขอสุดท้ายของคุณพ่อที่ว่า “หากชอบอะไร ก็ไปเรียนสิ่งนั้น ไปทำปริญญาเอกมา”

เมื่อเลือกเรียนศิลปะแล้ว ม.ศิลปากร เรียกว่าเป็นความฝันของเด็กศิลปะเกือบทุกคน รวมทั้งเมย์ริสสรา เธอจึงสมัครเข้าเรียนต่อทันที แม้ว่าเธอจะคิดว่าโชคดีที่มีโอกาสได้เข้ามาเรียน แต่ปีแรกก็เจอกับความโหดของการเรียน เมื่อต้องคร่ำเคร่งกับการอ่านหนังสือสอบวัดระดับภาษาอังกฤษให้ผ่าน รวมไปถึงหลักสูตรต่างๆ ที่สำคัญคือการทำธีซิส ที่นำเอากระบวนการสร้างงานของสตรีไทยในอดีต ที่ใช้เพียงแต่มือในการมัด ม้วน พับ มา สร้างชิ้นงานให้เป็นองค์ความรู้ใหม่

“ตอนนั้นมันเหนื่อยมาก เกือบเอาชีวิตไม่รอด ทำให้เราเข้าใจจริงๆ ว่าเด็กที่เรียนจนเครียดแล้วดับชีวิตเป็นอย่างไร นอกจากจะต้องรีเสิร์ชหาข้อมูล มาออกแบบใหม่ เราแบกหุ่น 12 ตัวไปแต่ละที่กับเราตลอด พยายามคิดหาองค์ความรู้ใหม่ โดยมีโจทย์คือการสร้างองค์ความรู้ที่เป็นประโยชน์ต่อมวลมนุษยชาติ ทำให้เราต้องอดทนมาก เหนื่อยก็พัก เบื่อก็แบกหุ่นขึ้นดอยไปทำงาน อยู่กับธรรมชาติ เมื่อใจเรานิ่ง เราก็เกิดความคิด เชื่อมโยงได้ เรียนไปเพื่อนก็จบไปเรื่อยๆ เพราะหลักสูตรมัน 4-5 ปี แต่เรายังเรียนอยู่ ทำแล้วก็ไม่ผ่าน แก้ไขงานไปเรื่อยๆ จนวันที่พรีเซนต์งานจบ แล้วอาจารย์ฝรั่งชม เราดีใจมาก และภูมิใจว่าสำเร็จแล้ว ทุกวันนี้งานของเราได้นำไปโชว์ที่มหาวิทยาลัยศิลปะที่อินเดียด้วย เราก็รู้สึกดีใจ”

“การสำเร็จปริญญาเอก มันทำให้เราดีใจมาก ไม่ใช่เพราะเป็นเกียรติประวัติ แต่เพราะปริญญาใบนี้ ฝึกให้เราอดทน อดกลั้น จัดระเบียบสมอง มีเหตุผล ทำให้เรารู้อะไรที่ลึก มีที่อ้างอิงและมีความรับผิดชอบ มองสิ่งเล็กๆ อย่างมีคุณค่าขึ้น แต่ปริญญาไม่ใช่ทุกอย่าง เพราะอาจจะมีคนที่เก่งและเชี่ยวชาญในงานของเขา เพียงแต่ไม่เลือกจะเรียนต่อ ซึ่งเราก็ต้องเคารพจุดนี้” เมย์ริสสราย้ำ

และเมื่อสำเร็จกับเป้าหมายที่เธอวางไว้ เธอก็อยากจะเริ่มโปรเจ็กต์ใหม่ๆ อีกครั้งหนึ่ง ซึ่งตอนนี้ก็เรียกได้ว่าตารางของเธอแน่นเอี๊ยด

แต่ทั้งหมดนั้น ไม่หลีกไปไกลกว่าคำว่า “ศิลปะ” และ “ธรรมชาติ”

“ในอดีต เราทำงานเพื่อดำรงชีพ เพื่อหาเงินมาตลอด แต่ตอนนี้ เรามาถึงจุดที่ไม่จำเป็นต้องทำตรงนั้นแล้ว เราอยากทำอะไรที่รักและมีความสุข”

โปรเจ็กต์แรกของเธอ คือการนำวิทยานิพนธ์ปริญญาเอกมาสร้างเสื้อผ้าในรูปแบบใหม่ ที่มีความเป็นศิลปะ เป็นอาร์ตฟอร์ม จากผ้า 1 ชิ้น แต่ละชิ้นมีความพิเศษและมีเพียงคอลเล็กชั่นละ 10-20 ชุด ต่อยอดจากสิ่งที่ได้เรียนมา รวมไปถึงต่อยอดสิ่งที่เคยทำ อย่างการสอนศิลปะให้กับเด็กๆ ในชื่อ “ระบายสี แต้มฝัน สร้างสรรค์จินตนาการ” หลังจากที่เคยไปสอนเด็กๆ ที่ประสบภัยสึนามิ เมื่อหลายปีก่อน แล้วพบว่าศิลปะสามารถช่วยบำบัดจิตใจของคนได้ จึงอยากจะสานต่อสิ่งนี้

อีกส่วนหนึ่ง ที่หลายคนอาจคิดไม่ถึง คือ “การทำเกษตรอินทรีย์”

เมย์ริสสราเล่าว่า หากใครรู้จักเรา จะรู้ว่าเรารักสุขภาพมาก และเป็นคนชอบกินผัก แต่ละมื้อจะต้องมีผักเป็นตะกร้า และเป็นคนชอบอากาศบริสุทธิ์ ธรรมชาติ ช่วงที่ทำวิทยานิพนธ์ปริญญาเอก มันค่อนข้างเครียด จำเจ เราจึงเปลี่ยนบรรยากาศไปเรื่อย ไปทำงานในไร่ ในสวน หุบเขาบ้าง ไปอยู่โฮมสเตย์กับชาวบ้าน ทำให้เราเห็นวิถีชีวิตของเขา และได้ไปเห็นว่าเกษตรกรที่ปลูกผักใช้สารเคมีมาก ซึ่งเขาจะไม่ใช้ก็ไม่ได้เพราะตลาดบังคับ ไม่สวยก็ถูกกดราคา เงินเขาก็สูญเปล่า แต่เวลาที่เขาปลูกกินเอง ไม่เหมือนกันเลย เราก็มานั่งคิดว่า ผักที่บอกว่ามาจากสวนออร์กานิก มันปลอดสารแน่หรือเปล่า เพราะก็ไม่ได้มีคนไปตรวจทุกวัน เพราะฉะนั้น หากอยากให้มันสะอาดจริงๆ เราต้องปลูกเอง

นับแต่วันนั้น เมย์ริสสราจึงเริ่มศึกษาหาข้อมูลจากในอินเตอร์เน็ต ทั้งสูตรปุ๋ยชีวภาพ ลองผิดลองถูก ว่าผักแบบไหนปลูกอย่างไร จากปลูกอย่างไรก็ไม่ขึ้น ทุกวันนี้ สวนหน้าบ้านของเธอมีทั้งต้นไผ่ชนิดต่างๆ ช่วยดูดสารพิษ ไปจนผักสวนครัวอย่าง โหระพา กะเพรา มะนาว ส้มจี๊ด ตำลึง ชะพลู ที่ออกดอกออกผล ด้วยน้ำหมักชีวภาพ และปุ๋ยจากเศษอาหารในบ้าน

“แรกๆ ที่เริ่มปลูก ก็ลองไปซื้อต้นไม้มา จัดๆ ลองผิดลองถูก แต่อยู่ไปสักพักมันก็ตาย ไม่สวยเหมือนที่ร้าน จนเรารู้ว่าก่อนจะขายเรา เขาก็เร่งใส่ปุ๋ย ใส่ยา เพื่อให้มันสวย แต่เราไม่ได้ทำแบบนั้น ผักก็เฉาหมด จึงเริ่มไปซื้อเมล็ดมาปลูกใหม่ หาข้อมูลจากอินเตอร์เน็ตและคนขาย เริ่มจากต้นเล็กๆ คอยสังเกตว่าขาดอะไรไป พืชอยากเน้นใบ หรือดอก ต้องการธาตุอะไรเพิ่มเติม ขาดไนโตรเจนไหม จนวันที่พืชเจริญเติบโต ใบคะน้าใหญ่มาก เราก็รู้สึกดีใจสุดสุด”

“ทุกวันนี้ พี่สาว เพื่อน มาเห็นเราปลูกผักขึ้น ก็มาขอเคล็ดลับ เราก็บอกได้แต่ว่า เคล็ดลับคือความอดทน ค่อยๆ ปลูกมันไป ทำให้เราภูมิใจว่านอกจากจะได้ผักปลอดสารพิษแน่ๆ แล้ว เรายังทำสำเร็จจากตัวเรา ทุกวันนี้หากไม่ได้ปลูกเอง เจอใครขายผักปลอดสารพิษแบบแท้ๆ เราก็จะช่วยเกษตรกรซื้อ เพราะถือว่าเป็นกำลังใจให้กับเขา” เมย์ริสสราเผย

ไม่ใช่เพียงแต่เรื่อง “ปลูกผัก” รักษ์โลกเท่านั้น กับเรื่องสุขภาพ เธอก็ต้องออร์แกนิกไม่แพ้กัน

เมย์ริสสรา เผยว่า เราเป็นคนรักสุขภาพมาก หลายคนชอบบอกว่าทำไมไม่อ้วน ก็เพราะเราทำอาหารทานเอง ใช้น้ำมันมะกอก น้ำมันพืชไม่ใช้เลย ข้าวที่บ้านก็ต้องเป็นข้าวกล้อง ทานมา 20 กว่าปีแล้ว น้ำตาลก็ไม่กิน ใครจะมาบ้านต้องบอกให้เอาน้ำตาลมาเอง (หัวเราะ) ไม่ทานหวานหรือมัน เนื้อสัตว์ก็ทานน้อย จะกินก็มีแค่ปลา แต่ละมื้อจะเป็นสลัด หรือน้ำพริก กับผักมากกว่า หรือจะเป็นพวกอาหารเผ็ดอย่างแกงไตปลา แกงเหลือง สมุนไพร ขมิ้น ตะไคร้ อะไรที่เป็นยา เราทานหมด ส่วนตัวไม่เคยป่วยเลย แต่หากเป็นหวัดก็จะไปศึกษาว่าสมุนไพรไหนดี ตัวไหนบำรุงผิว บำรุงผม ทานผักใบเขียวไปซ่อมผิว กับอารมณ์เราก็พยายามไม่เครียด ตื่นเช้ามานั่งสมาธิ ฟังธรรมะ อาทิตย์นึงจะออกต่างจังหวัดสักครั้ง ให้เรารู้สึกว่าได้ชาร์จแบต

เช่นเดียวกับการอยู่ในแวดวงสังคม ซึ่งเรื่องนี้ “เมย์ริสสรา” ก็บอกว่า จะอยู่ได้นาน ก็ต้องเป็นธรรมชาติและไม่คิดร้ายกับใคร

สาวสังคมคนดังเล่าว่า เราอยู่มานาน เพื่อนๆ รุ่นเดียวกันหายไปหลายคน ทุกวันนี้วงการไฮโซเปลี่ยนไปเยอะ แต่ก่อนคนจะเข้ามาจะเฉพาะกลุ่ม ลูกใคร หลานใคร แต่ทุกวันนี้ กลายเป็นคนที่ประสบความสำเร็จ คนที่บุคลิกโดดเด่น มีความสามารถ แวดวงนี้ก็เหมือนทุกสังคมที่มีคนปะปนกันไป ตัวเราเองยังเหมือนเดิม คือไปงาน แบบเป็นตัวของตัวเอง หน้าผมทำเองไม่ได้ลำบากใคร เขาให้เกียรติเรา เราก็ให้เกียรติเขาไปงาน ให้ถูกกาลเทศะ ถ่ายรูป สัมภาษณ์เสร็จก็จบ ไม่ได้ไปอะไรกับใครต่อ 4 ทุ่มก็เข้านอนแล้ว (หัวเราะ) งานการกุศลเราก็ไป ไม่ต้องมาจ้างเราก็ได้

“อยู่ตรงนี้ เราใช้ความจริงใจ ไม่ปรุงแต่ง ยึดหลัก คิดดี พูดดี ทำดี จะอยู่ในสังคมไหนก็ได้ หากจะพูดถึงบุคคลที่ 3 ก็จะพูดแต่เรื่องดี เรื่องส่วนตัวเขาเราไม่เกี่ยว คิดแต่ด้านบวก ก็ทำให้เราอยู่ตรงไหนก็ได้” เมย์ริสสราย้ำ

ปลูกผักสวนครัวอย่างเรียบง่าย

วันนี้ ที่ครบเครื่องของ “เมย์ริสสรา”

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image