| ที่มา | มติชนรายวันหน้า 18 |
|---|---|
| เผยแพร่ |
รู้จักกันให้มากขึ้น ‘เกรซ – นรินทร’ มิสไทยแลนด์เวิลด์ 2019
มิสไทยแลนด์เวิลด์ 2019 – ขับเคี่ยวกันมานานร่วมเดือน หลังเปิดม่านรับสมัครหญิงสาวที่มีคุณสมบัติเพียบพร้อม ทั้งความงามความสามารถ ตลอดจนความคิดและทัศนคติ จนในที่สุดก็ได้ตัวแทนประเทศไทย ไปคว้า “มงฟ้า” ในเวที “มิสเวิลด์” ที่จะมีขึ้นปลายปีนี้ ณ กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ
ท่ามกลางการแข่งขันที่เข้มข้น เมื่อสิ้นเสียงพิธีกรประกาศชื่อของ “มิสไทยแลนด์เวิลด์ 2019” สปอตไลต์ก็ส่องไปที่ เกรซ-นรินทร ชฎาภัทรวรโชติ สาวสวยตาคม อายุ 21 ปี นักศึกษาชั้นปีที่ 4 คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สาขาจิตวิทยา บ่งบอกว่าเธอคนนี้เป็นผู้ได้ครองมงกุฎล้ำค่า
เรียกว่าเป็นวินาทีที่ “ความฝันกลายเป็นความจริง”
เพราะสำหรับ นรินทร การเป็นนางงามคือหนึ่งในความฝันที่ตีคู่มากับการเป็น “นักจิตวิทยา”
“หลายคนชอบพูดว่าเรียนจิตวิทยาแล้วต้องอ่านใจคนได้ ซึ่งความจริงแล้วไม่ใช่ การเรียนจิตวิทยาทำให้เข้าใจพฤติกรรมของมนุษย์มากขึ้น ซึ่งมีประโยชน์มากในการใช้ชีวิตประจำวัน เพราะทำให้เราเปลี่ยนชุดความคิด และทัศนคติในการมองโลกให้เป็นระบบได้” เกรซกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง และว่า
เธอนำเสนอโครงการจิตอาสาชื่อว่า Let me hear you ให้คำปรึกษาในด้านจิตวิทยา โดยเฉพาะโรคซึมเศร้า เนื่องจากโรคซึมเศร้าและโรคเครียดกำลังเป็นปัญหาในสังคมไทย เห็นได้ชัดจากสถิติการฆ่าตัวตายไปจนถึงเรื่องยาเสพติด ปัญหาการหย่าร้าง และโรคทางกายต่างๆ เธอจึงอยากให้สังคมเข้าใจถึงผู้ป่วยโรคจิตเวชมากขึ้น ว่าไม่ใช่เรื่องที่คนต้องรังเกียจ แต่ควรให้การยอมรับและช่วยเหลือ ผ่านการทำสื่อสารสนเทศในรูปแบบต่างๆ เพื่อให้คนในสังคมเข้าถึงข้อมูลที่ถูกต้องและเข้าใจคนกลุ่มนี้มากยิ่งขึ้น
ซึ่งโครงการจิตอาสานี้ก็มัดใจกรรมการได้อยู่หมัด ส่งให้เธอได้รับรางวัลพิเศษ “นางงามจิตอาสา” ในการประกวดครั้งนี้ด้วย
ทั้งนี้ ความมี “จิตสาธารณะ” และ “จิตอาสา” ของนรินทรนั้นไม่เคยแห้งเหือด เพราะเธอมักจะไปทำกิจกรรมเพื่อช่วยเหลือสังคมอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นช่วยเหลือญาติของผู้ป่วยที่ขาดที่อยู่อาศัย, นำเงินที่รับบริจาคมาสร้างที่อยู่อาศัยหรือสิ่งของที่จำเป็นให้กับผู้ป่วยไร้ญาติ, อัดเสียงเล่านิทานให้กับกลุ่มน้องๆ ที่พิการทางสายตา และจัดกิจกรรมสื่อสารการเรียนรู้ให้แก่เด็กกำพร้าและเด็กเล็ก เป็นต้น
เป็นคนสวยรวยน้ำใจแบบนี้ ความสามารถด้านอื่นๆ ก็ไม่ธรรมดา
เพราะนอกจากความรู้ด้านจิตวิทยาที่แน่นเปรี๊ยะๆ แล้ว นรินทร ยังมีความสามารถทางภาษาถึง 3 ภาษา ประกอบด้วย ไทย อังกฤษ และฝรั่งเศส ในระดับโปรเฟสชั่นแนล ทั้งยังมีน้ำเสียงและทักษะการร้องเพลงที่ไพเราะมาก
ที่สำคัญเธอยังเป็นคนที่ “มีไหวพริบ” โดยเฉพาะการตอบคำถามได้อย่างมีเสน่ห์ ซึ่งเกรซบอกว่า นี่อาจจะเป็นอีกหนึ่งจุดแข็งของเธอที่เป็นผลจากการเรียนจิตวิทยา นั่นคือ “การเป็นผู้ฟังที่ดี” ฉะนั้นเธอจึงตอบได้ตรงคำถามและถูกจุด
ซึ่งคำตอบเหล่านั้นยังสะท้อนตัวตนของเธออีกด้วย นั่นคือ “การดำรงชีวิตเพื่อเรียนรู้” ที่เธออธิบายว่า “เพราะการเรียนรู้ไม่เคยสิ้นสุด หากเราหยุดที่จะเรียนรู้เมื่อไหร่ ก็เท่ากับว่าได้หยุดการใช้ชีวิต เราควรที่จะสร้างพลังบวกให้กับตัวเอง และเรียนรู้ที่จะพัฒนาตัวเองไปเรื่อยๆ เพื่อสิ่งที่ดีกว่า”
นอกจากนี้เธอยังเป็น “นักสู้” เมื่อถูกถามถึงคุณสมบัติของตัวเองที่สะท้อนความเป็นไทยมากที่สุด และเธอตอบว่า สิ่งนั้นคือ “ยิ้มสู้” เพราะนอกจากคนไทยจะยิ้มสวยแล้ว ยังสามารถยิ้มสู้ทุกอุปสรรคและปัญหาที่จะผ่านเข้ามาได้ด้วย
เรียกว่าเป็นผู้หญิงที่เปี่ยมเสน่ห์
ซึ่งส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะ “ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น” ด้วยเกรซเป็นหลานตาของ “นายศักรินทร์ บุญฤทธิ์” เอลวิสเมืองไทยรุ่นแรก ขณะที่คุณยายเป็นอดีตนางแบบและนางงามชื่อดังของยุค “ดวงฤดี พูนพัฒน์”
สำหรับการเป็นตัวแทนประเทศไทยไปชิง “มงฟ้า” นั้นมีเวลาเหลือเพียง 4 เดือนเท่านั้น เกรซบอกว่าไม่ใช่ปัญหาเพราะเมื่อตั้งใจทำ ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้ ส่วนเรื่องที่มีคนนำเธอไปเปรียบเทียบกับนางงามรุ่นพี่อย่างนิโคลีน เธอไม่รู้สึกกดดันแต่มองว่าเป็นแรงผลักดันที่จะทำให้ดีขึ้นมากกว่า
มิสไทยแลนด์เวิลด์คนล่าสุดยังทิ้งท้ายถึงประเด็นการบูลลี่ หรือวิจารณ์เรือนร่างของผู้อื่นได้อย่างน่าสนใจว่า การบูลลี่คือการลดคุณค่าของผู้อื่นลง ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่มีผลมาจาก “อัตมโนทัศน์” (Self Concept) ของแต่ละคนที่แตกต่างกัน โดยสิ่งที่บูลลี่อาจจะเกิดจากปมด้อยหรือความรู้สึกข้างใน ซึ่งทุกคนควรที่จะเป็นตัวเองให้มากที่สุด ไม่ต้องสนใจการบูลลี่ เพราะหากเรามั่นใจและยืนหยัดในสิ่งที่เป็น การบูลลี่ก็ไม่มีความหมาย และหากสักวันหนึ่งเขาเห็นศักยภาพของคนที่ถูกเขาบูลลี่ เขาก็จะหยุดไปเอง แล้วอาจจะมีเวลาหันกลับไปสำรวจตัวเองมากยิ่งขึ้นด้วย
คนสวยพลังบวก
