จบลงด้วยดี! ตั้ว – กีรติ ดีไซเนอร์ดัง เจอแม่แล้ว ย้ำไม่สนใจเรื่องคดีความ พร้อมยื่นขออภิบาลแม่แต่เพียงผู้เดียว

เมื่อเวลา 13.40 น. วันที่ 23 มิถุนายน จากกรณีที่ ตั้ว – นายกีรติ ชลสิทธิ์ ดีไซเนอร์เจ้าของห้องเสื้อดวงใจบิส อายุ 60 ปี ได้โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊กกรณีมารดา นางสมพร ชลสิทธิ์ อายุ 90 ปี ถูกพาตัวไปจากโรงพยาบาลวิชัยยุทธ เมื่อวันที่ 26 เมษายนที่ผ่านมา ก่อนนายกีรติจะไปแจ้งความและยื่นหนังสือเรียกร้องความเป็นธรรมที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ทั้งให้ข่าวว่านางดวงใจ นัยวัฒน์ พี่สาวซึ่งเป็นผู้อนุบาลมารดาร่วมกันนั้น เป็นผู้นำตัวมารดาไปพักที่จังหวัดชลบุรีโดยไม่แจ้ง นำมาซึ่งการตอบโต้ถึงข้อพิพาทเรื่องมรดกในครอบครัวมูลค่ากว่า 300 ล้านบาท

ล่าสุด นายกีรติ ได้แจ้งแก่ผู้สื่อข่าวว่าพบตัวมารดาแล้ว โดยมารดาพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบางสมิติเวช ศรีราชา โดยในช่วงบ่ายได้พากลับมารักษาตัวที่โรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาราชการุณย์ พร้อมเปิดใจให้สัมภาษณ์ ที่บริเวณสวนหย่อมด้านหน้าโรงพยาบาลว่า ตั้งแต่มารดาหายตัวไปกว่า 2 เดือน ก็รู้สึกกังวลใจมาก เป็นห่วงไม่รู้ว่าแม่จะเป็นอย่างไร แม้จะรู้ว่าถูกนำตัวไปพักที่ จ.ชลบุรีก็ไม่กล้าไปพาตัวแม่คืน กลัวว่าตัวคนเดียวอาจถูกทำร้าย เพราะไม่ใช่คนในพื้นที่ การจะนำตำรวจไปพร้อมกันก็กลัวเป็นเรื่องใหญ่โต จนเมื่อช่วงเวลาประมาณ 2 ทุ่มของวันอังคารที่ 21 มิถุนายนที่ผ่านมา มีเพื่อนแจ้งเข้ามาว่าแม่ไปรักษาตัวอยู่ในห้องไอซียูของโรงพยาบาลสมิติเวช ศรีราชา จึงรีบเข้าไปเยี่ยมจนได้พากลับมารักษาที่โรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาราชฯ เพราะคุณแม่เป็นคนไข้เก่าที่นี่อยู่แล้ว โดยคุณหมอที่โรงพยาบาลสมิติเวชฯ เองบอกว่าคุณแม่มีอาการอ่อนเพลีย ไม่มีแรง แต่ก็ดีขึ้นและสามารถออกกำลังกายได้

นายกีรติ กล่าวต่อว่าก่อนหน้าจะพบตัวแม่นั้นทางฝ่ายคู่กรณีได้โทรศัพท์เข้ามากว่า 30 สาย แต่ไม่ได้รับสายเพราะไม่อยากติดต่อกันอีก จึงเข้าใจว่าที่โทรมานั้นอาจเป็นเพราะจะให้มาดูใจแม่ หรืออาจจะต้องการให้ตนมาจ่ายค่ารักษาพยาบาลคุณแม่กว่า 86,000 บาทต่อ ขณะที่ เมื่อตนไปเฝ้าแม่ที่ชลบุรีก็ไม่เคยมาพบหน้ากัน ซึ่งกรณีนี้ถือเป็นเรื่องดีเพราะเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นว่าทางฝั่งคู่กรณีไม่สามารถดูแลแม่ต่อได้จริง จากนี้จะดูแลแม่เป็นอย่างดีไม่ให้คลาดสายตา และจะเร่งตัดชุดที่ค้างอยู่ 6-7 ชุดให้เสร็จเรียบร้อยในปีนี้ ก่อนจะปิดร้านดวงใจบิสมาดูแลแม่เต็มตัว

เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีคดีความที่ นายกีรติได้ไปแจ้งความเรื่องมารดาหายไปนั้น นายกีรติกล่าวว่าจะปล่อยให้เป็นธรรมชาติ ไม่ได้คิดจะไปถอนแจ้งความ แต่ก็จะไม่ไปให้ปากคำอะไรเพิ่มเติม เพราะคงไม่มีอะไรดีขึ้น ยืนยันว่าเรื่องมรดก 300 ล้านที่คู่กรณีอ้างว่ามีข้อพิพาทกันนั้นก็ไม่สนใจ ส่วนตัวทำอาชีพนี้มีเงินพอกินพอใช้อยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องไปแย่งทรัพย์สินกัน เพราะทรัพย์สินก็คงเป็นของตัวเองอยู่ดี ส่วนที่คู่กรณีเคยไปแจ้งความเรื่องขโมยตู้เซฟของที่บ้านไปนั้น ขอย้ำว่าตู้เซฟเป็นของแม่ และตั้งอยู่ในบ้าน ไม่ได้ขโมยไป ทั้งคดีก็ได้แจ้งความมากว่า 1 ปีแล้ว หากผิดจริงน่าจะมีหมายจากตำรวจมาถึงตน จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มี

Advertisement

“ตอนนี้เรื่องคดีความไม่ได้สนใจแล้ว เพราะผมแค่อยากได้แม่กลับมาอยู่ด้วยเท่านั้น ตอนเจอแม่ครั้งแรก แม่ดูไม่มีแรง ไม่ยอมพูดด้วยเหมือนจำผมไม่ได้ ผ่านไปสักพักเขาก็ยิ้มเหมือนรอผมมา อยากกลับมาอยู่กับผม แม่เองไม่ชอบทะเล ไม่อยากไปอยู่ชลบุรี เคยไปแค่ 2 ครั้งเท่านั้น ตอนนี้แม่ได้กลับมาอยู่กรุงเทพฯ มาอยู่กับผมแล้ว เรียกว่าดีใจที่สุดในชีวิตแล้ว พอใจและจะไม่ให้แม่คลาดสายตาอีก เรื่องคดีอย่างไรก็คงปล่อยไป” นายกีรติกล่าว

พร้อมกันนี้ได้เปิดเผยอีกว่า ตั้งแต่มารดาหายตัวไปนั้น ได้ไปยื่นขอเป็นผู้อนุบาลมารดาคนเดียวแก่ศาล โดยจะพร้อมขึ้นศาลเยาวชนและครอบครัวในเวลา 09.00 น. วันที่ 26 กรกฎาคมนี้ และมั่นใจว่าศาลจะอนุญาตเพราะเหตุการณ์นี้เป็นเครื่องแสดงว่าใครดูแลมารดาจริง

S__53846021

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image