ชิมชิล-ชิล : Galleria Milano

ใครได้เคยไปเที่ยวเมืองมิลาน ประเทศอิตาลี น้อยคนนักที่จะพลาดไม่ได้ไปเดินเล่น “ช้อปปิ้งมอลล์” ที่เก่าแก่ที่สุดในโลกแห่งหนึ่ง คือ “Galleria Vittorio Emanuele II” ซึ่งออกแบบเมื่อปี ค.ศ.1861 และก่อสร้างเสร็จในปี ค.ศ.1877 และตั้งชื่อตามกษัตริย์อิตาลีพระองค์แรก

ลักษณะของ “แกลอเรีย” เป็นอาคาร 4 ชั้น สองอาคารในอาเขต-Arcade มีหลังคาโค้ง โครงเหล็กคลุม ตรงกลางเป็น 8 เหลี่ยมมี “โดม” คลุม อาคารสวยงาม บนพื้นเป็น “สัญลักษณ์” หรือ Coat of Arms ของ 4 เมืองหลักแห่งราชอาณาจักรอิตาลีในอดีต-Turin, Florence, Rome และ Milan

ปัจจุบันยังคงมีห้างร้านขายของเรียงราย และร้านกาแฟร้านอาหารอร่อยๆ ให้เลือกชิม ต้องมีเวลาสักหน่อยจะได้เดินทั่ว ทั้งเซลฟี่ถ่ายรูปเป็นที่ระลึกกันได้อย่างหนำใจ

ที่เล่ามาทั้งหมด ไม่ใช่จะพาไปถึงที่โน่นหรอกครับ ถึงเดี๋ยวนี้จะเดินทางได้สะดวก ไม่ต้องขออนุญาต “คสช.” แล้วก็ตาม แต่โอกาสแวะเวียนไปซีกโลกนั้นยังน้อย เอาเป็นว่าหาร้าน “อิตาเลียน” กินแก้ขัดแถว “กทม.” ไปก่อนละกันครับ

Advertisement

และร้านนี้ก็ตรงตาม “ท้องเรื่อง” เสียด้วย ชื่อร้านเขา Galleria Milano ซึ่งเจ้าของมีความ “ตั้งใจ” ที่จะให้สอดคล้องกับอาเขตดังที่มิลาน เพราะไปเที่ยวมาแล้ว “ติดใจ” เกิด “แรงบันดาลใจ” ให้ทำร้านอาหารที่มีเสน่ห์อย่างต้นฉบับ

เริ่มจากเพื่อนนักชิมของผม (เขาไม่ประสงค์เอ่ยนาม) เป็นผู้ไปค้นพบ แล้วโทรมาชวน บอก “สั่งเนื้อ” ไว้ อยากให้ไปลองด้วยกัน แค่นี้ก็พอแล้วที่จะทำให้กระโดดขึ้นรถไป แต่ในใจก็คิดว่าคงเป็น “สเต๊ก” ธรรมดาๆ และไม่ได้คิดด้วยว่าร้านจะหรูหราอะไร แต่ผิดคาด

Advertisement

“แกลอเรียมิลาโน” ตั้งอยู่ในมอลล์เล็กๆ เกือบสุดซอยสุขุมวิท 20 ซอยนี้เปลี่ยนไปมาก กลายเป็นซอยที่มีร้านอาหารจำนวนมาก เมื่อก่อนจำได้มีแค่ Bei Otto ใกล้ๆ ปากซอย (ยังอยู่) ช่วงหลังมี “เจ๊ง้อ” มาเปิดท้ายซอย เดี๋ยวนี้คึกคักเกือบทั่วซอย มีโรงแรม อพาร์ตเมนต์ และคอนโดฯใหม่ๆ

ครั้งแรกที่ไปกับเพื่อนไปตอนกลางวัน ร้านตกแต่งสวยงาม มีรูปภาพที่จะ “สื่อ” ถึงมิลาน แน่นอนย่อมไม่ใช่ของจริง แต่ก็ไม่เสียชื่อความพยายามให้ได้ “อารมณ์” โต๊ะเก้าอี้นั่งสบาย

มีบริเวณระเบียงด้านนอก แต่ร้อนไปที่จะนั่ง ผู้จัดการร้านบอกว่ากำลังคิดจะ “กั้น” ใหม่ ขยายพื้นที่ในร้านแทน เพราะคนไทยไม่นั่งข้างนอกแน่ แต่ผมไปแอบลองกับ ผบ.ที่บ้าน ไปช่วงค่ำ บรรยากาศข้างนอกน่านั่งขึ้น ช่วงหน้าหนาวคงพอไปได้

นั่งปั๊บ เขายก “เนื้อ” มาโชว์ ก้อนโต แค่เห็นก็ “อิ่ม” โฆษณาว่ามาจากวัวกินหญ้า “ธรรมชาติ” ครับเดี๋ยวนี้ “จุดขาย” ต้องวัวโต และกินหญ้าตามทุ่งนะครับ วัวเลี้ยงจากอาหารสัตว์กินได้ แต่เสี่ยง “เคมี” และ “มะเร็ง” ในที่สุด

ในใจได้แต่คิด แล้วจะมีปัญญาหาที่ไหนกินได้ทุกมื้อ มื้อนี้มี “เจ้าภาพ” ต้องสำรองไว้ก่อน!!

ระหว่างรอเนื้อ เพื่อนผมถามว่าจะสั่งอะไรอีก ผมมองหน้าแล้วว่า “พี่เราจะกินหมดเหรอ เนื้อก้อนนั้นน่ากลัวอยู่” “เอาน่า มาแล้วต้องลอง” พร้อมสั่ง “สลัดแกลอเรียมิลาโน” เป็นผักสลัด ปลาทูน่า แอนโชวี่ และไข่นกกระทา ปลาทูน่าชิ้นโต แอนโชวี่ให้แบบ “ไม่งก” ผสมผสานกับน้ำมันมะกอก อร่อยได้ที่ ตามด้วย “รีซ็อตโต้-ข้าวอิตาเลียน” ที่มีซอสมะเขือเทศ เพสโต้ และชีสบูเรตต้า ผมเป็นคนไม่ค่อยชอบเพสโต้เลยเฉยๆ แต่เพื่อน “ซัด” หมด แถมด้วย Tuscany Raw Ham จานนี้ดีจริง แฮมใหม่ ไม่หนักไป

ส่วนเจ้าเนื้อ “ย่าง” มา Medium Rare วางบนผักร็อกเก็ตและโรยชีส โอ้โห ได้เรื่องครับ นุ่มแทบละลายในปาก คนที่ชอบเนื้อ โทรไปถามก่อนได้ เพราะแต่ละช่วงเขาได้มาไม่เหมือนกัน หรือไปถึงร้านสอบถามก่อนสั่งอย่างอื่น จะได้เก็บท้องได้

วันที่ผมไปครั้งหลัง ได้ลอง “ขาเป็ดกงฟี” French Duck Confit Slow Cooked in Orange, Balsamic Sauce และ “พาสต้าลิงกินี่ล็อบสเตอร์-Linguine with Half Canadian Lobster” ดูชื่อไม่อิตาเลียน แต่อร่อยทั้งสองจาน โดยเฉพาะเส้นพาสต้าลิงกินี่

ของหวาน (ถ้าไม่อิ่มเกินไป) ต้องลอง Chocolate Mousse และ Strawberry Meringue ไวน์ลิสต์มีให้เลือกพอควร ระดับราคาไม่แพงเกินไป ไม่ได้ไปมิลาน ไปที่นี่แทนได้ครับ!!

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image