รู้ทันก่อนสาย! ปวดข้อนิ้วมือเรื้อรัง … ระวังโรค “รูมาตอยด์”

พญ.บุษกร ดาราวรรณกุล อายุรแพทย์โรคข้อและรูมาติสซั่ม โรงพยาบาลเวชธานี กล่าวว่า อาการปวดข้อนิ้วมือเป็นอีกหนึ่งอาการที่พบได้บ่อยไม่แพ้อาการปวดข้อเข่า หรือปวดหลัง ซึ่งสาเหตุอาจเกิดขึ้นได้จากหลายอย่าง ทั้งที่เกิดจากความผิดปกติของเนื้อเยื่อรอบ ๆ  ข้อ เช่น เอ็นอักเสบ นิ้วล็อค พังผืดกดทับเส้นประสาทบริเวณข้อมือ หรืออาจเกิดจากความผิดปกติของข้อนิ้วมือเอง ได้แก่ ข้ออักเสบ และข้อนิ้วเสื่อม โรคข้ออักเสบที่เกี่ยวข้องกับบริเวณข้อนิ้วมือมีหลายโรค แต่โรคที่พบได้บ่อยและมีความสำคัญ จำเป็นต้องได้รับการวินิจฉัยและรักษาที่ถูกต้อง คือ โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ เนื่องจากผู้ป่วยโรคนี้มีโอกาสที่ข้อจะถูกทำลาย กระดูกกร่อน และตามมาด้วยข้อผิดรูปหรือพิการได้

โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์เป็นโรคที่พบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชายในอัตราส่วน 8:1  สามารถพบได้ตั้งแต่ช่วงวัยรุ่น จนถึงวัยสูงอายุ ปัจจุบันพบว่ามีปัจจัยหลายอย่างที่เกี่ยวข้องและทำให้เกิดโรค รวมทั้งกรรมพันธุ์ การติดเชื้อ การสูบบุหรี่ และปัจจัยจากสภาพแวดล้อมบางอย่าง

อาการสำคัญของผู้ป่วยคือปวดข้อและมีข้ออักเสบเรื้อรังที่ต่อเนื่องกันนานเกิน 6  สัปดาห์ โดยเฉพาะที่บริเวณข้อนิ้วมือ และข้อมือ แต่ในผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงอาจจะมีข้ออักเสบได้ทุกข้อทั่วทั้งร่างกาย รวมทั้งข้อไหล่ ข้อศอก ข้อสะโพก ข้อเข่า ข้อเท้า และข้อนิ้วเท้า ข้อที่มีการอักเสบจะมีลักษณะกดเจ็บ บวม แดง อุ่นหรือร้อน เมื่อขยับหรือใช้งานจะมีอาการปวด เวลาตื่นนอนตอนเช้าผู้ป่วยมักจะมีอาการข้อฝืด ตึง แข็ง ขยับได้ลำบาก ( morning stiffness) ต้องใช้เวลาสักพักจึงจะขยับข้อได้ดีขึ้น ในผู้ป่วยบางรายอาจจะมีไข้ต่ำๆ อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร และน้ำหนักลดร่วมด้วยได้ ธรรมชาติของโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์จะมีการทำลายกระดูกอ่อนที่บุผิวข้อ ทำให้ในระยะยาวเกิดการทำลายข้อ กระดูกกร่อน ข้อผิดรูป ส่งผลต่อการใช้งาน หรืออาจก่อให้เกิดความพิการ

นอกจากนี้ผู้ป่วยยังอาจมีอาการในระบบอื่นๆ ของร่างกาย เช่น ภาวะซีด ตาอักเสบ ปอดอักเสบมีพังผืด เส้นเลือดฝอยอักเสบ หรือภาวะแทรกซ้อนที่อันตรายถึงชีวิต เช่น หลอดเลือดหัวใจตีบ และกระดูกต้นคอกดทับไขสันหลัง เป็นต้น

Advertisement

การวินิจฉัยจำเป็นต้องอาศัยทั้งประวัติ ตรวจร่างกาย ถ่ายภาพรังสี ( x-ray) ตรวจเลือดหาค่ารูมาตอยด์ ( rheumatoid factor) และแอนติบอดี้ที่จำเพาะต่อโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ ( anti-CCP) ซึ่งหากได้รับการวินิจฉัยแล้วผู้ป่วยจำเป็นจะต้องได้รับการรักษาที่ถูกต้อง ด้วยการใช้กลุ่มยาต้านโรครูมาติก (disease-modifying antirheumatic drugs ; DMARDs) เพื่อลดการอักเสบของข้อ ช่วยชะลอและป้องกันการทำลายข้อได้ในระยะยาว

เป้าหมายในการรักษาโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ในปัจจุบัน คือมุ่งหวังที่จะให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดี ไม่ปวดข้อ ทำงานได้เป็นปกติ และลดโอกาสเกิดข้อพิการ ซึ่งการรักษาจะประสบความสำเร็จได้ถ้าผู้ป่วยได้รับการวินิจฉัยและรักษาที่รวดเร็ว โดยเฉพาะในช่วง 1  ปีแรกที่เริ่มมีอาการ

Advertisement

ดังนั้น ถ้าผู้ป่วยเริ่มมีอาการปวดข้อ หรือสังเกตเห็นข้อบวม แดง อุ่นหรือร้อน โดยเฉพาะบริเวณข้อนิ้วมือ และข้อมือ หรือมีอาการข้อฝืด ตึง แข็งเวลาตื่นนอนในตอนเช้า ถึงแม้จะเป็นมาไม่นานควรจะรีบปรึกษาแพทย์ เพื่อให้ได้รับการตรวจวินิจฉัยแลรักษาอย่างถูกต้องต่อไป

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image