ถึงแม้ว่าเราจะเข้าสู่ยุคแห่งความเสมอภาคที่ทุกคนมีสิทธิเท่าเทียมกันและไม่มีการแบ่งแยกชนชั้น แต่ดูเหมือนว่าในเรื่องทัศนคติและมุมมองทางความคิดที่มีต่อผู้หญิงที่ว่า “ผู้หญิงสวยมักไม่เก่ง ผู้หญิงเก่งมักไม่สวย” ยังคงมีอยู่ และดูเหมือนว่าเปลี่ยนแปลงกันได้ยาก
ทั้งที่ปัจจุบันผู้หญิงได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในการช่วยเหลือ และพัฒนาสังคม รวมถึงขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศกันมากขึ้น
พีแอนด์จีได้ทำการสำรวจความคิดเห็นประชากรไทย จำนวน 500 คนทั่วประเทศ อายุตั้งแต่ 25 ปีขึ้นไป พบว่า คนไทยมากกว่าครึ่ง 50.4 เปอร์เซ็นต์ ไม่เชื่อว่าผู้หญิงจะสามารถเป็นได้ทั้งคนสวยและคนเก่งในเวลาเดียวกัน และเมื่อสอบถามทัศนคติเชิงลึกของผู้ชายไทยที่มีต่อผู้หญิงในเรื่องความสวยและเก่ง พบว่า หลังจากพบเห็นผู้หญิงสวยในครั้งแรก กว่า 45 เปอร์เซ็นต์ ยอมรับว่าความคิดแรกที่เกิดขึ้น คือ ผู้หญิงคนนั้นน่าจะทำงานที่ใช้รูปร่างหน้าตามากกว่างานที่ท้าทายความสามารถ
นอกจากนี้ 50 เปอร์เซ็นต์ของผู้ชายยังยอมรับอีกด้วยว่า ไม่คาดหวังให้ผู้หญิงในสายอาชีพที่ท้าทาย เช่น วิศวกร แพทย์ หรือนักบิน ฯลฯ จะมีหน้าตาสวย เนื่องจากมีความคิดที่ว่าผู้หญิงเก่งเหล่านั้นน่าจะให้ความสำคัญกับเรื่องการประสบความสำเร็จในสายอาชีพมากกว่าการดูแลรูปร่างและหน้าตาตนเอง
แต่ในความเป็นจริง ประเทศไทยมีจำนวนซีอีโอหญิงสูงสุดเป็นอันดับที่ 1 ของโลก 3 คิดเป็นอัตราส่วน 45 เปอร์เซ็นต์ สูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกถึง 2.3 เท่า เนื่องจากผู้หญิงไทยมีความละเอียดรอบคอบ อดทน อีกทั้งยังสามารถทำงานภายใต้สถานการณ์กดดันต่างๆ ได้เป็นอย่างดี
ซึ่งนอกเหนือจากบทบาทอันโดดเด่นในสายอาชีพแล้ว ผู้หญิงไทยยังก้าวเข้ามารับอีกหนึ่งบทบาทสำคัญของการเป็นหัวหน้าครอบครัวกันมากขึ้น สูงถึง 36 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าผู้หญิงไทยนั้นไม่ได้แค่เพียบพร้อมไปด้วยบุคลิกภาพและรูปลักษณ์ แต่ยังมีความพร้อมในศักยภาพการทำงานที่สามารถรับผิดชอบในงานท้าทายและหลากหลาย รวมถึงหน้าที่ต่อสังคมได้เป็นอย่างดี
จะเห็นได้ว่าผู้หญิงไทยทุกวันนี้สามารถจัดการกับบทบาทที่หลากหลายได้เป็นอย่างดี
เมื่อถามผู้หญิงด้วยกัน 62 เปอร์เซ็นต์ มีความเชื่อมั่นว่าตนเองมีทั้งความสวยและความเก่งในเวลาเดียวกัน ถึงกระนั้นก็ยังมีผู้หญิงอีกหลายคนที่ไม่มั่นใจ และคิดว่าเธอต้องเลือกเพียงหนึ่งบทบาท เช่น ระหว่างการดูแลครอบครัวกับความก้าวหน้าทางสายอาชีพ หรือระหว่างการเป็นคนสวยหรือการเป็นคนเก่ง