หลังจากเปิดประเทศ มีการเลือกตั้งและรัฐบาลใหม่ไปเมื่อไม่นานนี้ ทำให้ความเจริญต่างมุ่งหน้าเข้าสู่ “เมียนมา” อย่างล้นหลาม แสดงออกผ่านตึกรามบ้านช่อง รวมถึงธุรกิจพื้นฐาน ทั้งสาธารณูปโภค อาหารการกิน ห้างสรรพสินค้า ตลอดจนธุรกิจแฟชั่นที่กำลังเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกับธุรกิจสำหรับคนมีกำลังซื้อ ที่ดูจะขยายวงกว้างขึ้นเรื่อยๆ
พาให้เหล่านักธุรกิจต่างหยิบจับธุรกิจใหม่ๆ กันคึกคัก อย่างเช่น ธุรกิจเวดดิ้งแพลนเนอร์ ที่กลายเป็นธุรกิจใหม่ที่หลายคนจับจ้อง จนได้ ไลออน เมียนมา เลือกเปิดธุรกิจประเภทนี้ขึ้นเป็นครั้งแรกในพม่ากับ ซูเล พลาซ่า ช้อปปิ้งมอลล์ด้านเวดดิ้งโดยเฉพาะ
เน มิน เมี้ยว เต็ง ผู้อำนวยการซูเล พลาซ่า ที่เบนเข็มจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และเวชภัณฑ์มาจับธุรกิจนี้ เผยว่า เช่นเดียวกับประเทศต่างๆ ในอาเซียน การแต่งงานของคนพม่ามีพิธีและขั้นตอนมากมาย ซึ่งหากต้องการจะแต่งงานให้ครบทุกพิธีอาจมากถึง 7 ขั้นตอน เริ่มจากสู่ขอเจ้าสาว หมั้น จดทะเบียน พิธีแต่งงานแบบพม่า ที่มีทั้งการผูกข้อมือ รดน้ำ ก่อนจะมีงานแต่งแบบตะวันตก ฉลองมงคลสมรสเลี้ยงแขก ปิดท้ายด้วยขั้นตอนยกน้ำชาไหว้บรรพบุรุษ กินเวลาอย่างน้อย 7 วัน ใช้ทั้งชุดแต่งงานตะวันตก และชุดลองจีแบบพม่า โดยคนทั่วไปอาจจะจัดพิธีแต่งงานอย่างเรียบง่ายแค่ขั้นตอนเดียว แต่กับชนชั้นสูงพม่าแล้วก็อาจจะมีหลายขั้นตอน
“การจะแต่งงานแต่ละครั้ง กลุ่มชนชั้นบนของพม่า ต้องบินไปดูชุดแต่งงานถึงปารีส มิลาน เฉพาะแค่ค่าใช้จ่ายด้านชุดอยู่ที่ 2 แสนเหรียญสหรัฐเป็นอย่างต่ำ นอกจากนั้นยังต้องนำเข้าคนจัดดอกไม้ ช่างภาพ ช่างแต่งหน้า เรื่อยไปจนถึงคนจัดงานจากไทย สิงคโปร์ ซึ่งต้องใช้เงินจำนวนมากถึง 1 ล้านเหรียญสหรัฐ เสาะหาทั้งหมดด้วยตัวเอง อย่างเช่นงานแต่งยักษ์ใหญ่ของพม่าเมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมาของเหล่าลูกหลานนักการเมืองดัง ที่เชิญแขกถึง 5,000 คน ในอีเวนต์ฮอลล์ขนาดใหญ่ ต้องสั่งเก้าอี้ ดอกไม้ และทุกอย่างเข้ามาใหม่เพื่อรองรับจำนวนแขกที่มากขนาดนั้น ว่ากันว่าใช้เงินไปมากกว่า 4 ล้านเหรียญ หรือ 150 ล้านบาท”
นี่เองเป็นเหตุผลให้เนมินเลือกเปิดธุรกิจใหม่ร่วมกับ ซูซาน น้องสาว เพราะเห็นว่าตลาดนี้กำลังโตได้อีกมาก
“เราเปิดซูเล พลาซ่าขึ้น เพื่อรองรับลูกค้าที่ต้องการจะหาทุกอย่างครบในหนึ่งเดียว เป็นครั้งแรกของพม่ากับห้างลักษณะนี้ และดึงเอาดีไซเนอร์กูตูร์ชั้นนำทั่วโลกมา อย่าง อาม ซาเล่ จากสหรัฐ, โมนาจ จากฝรั่งเศส ทั้งยังได้แบรนด์ ยูมิ คัตซึระ โอ กูตูร์ดังจากญี่ปุ่น รวมทั้งแบรนด์ชุดแต่งงานพม่าอย่าง โมก๊ก ปาป้า (Mo guk pauk pauk) ที่ดูมีความเป็นเอเชียน แบรนด์ผ้า และบริการเครื่องประดับ ดอกไม้ จองโรงแรม เราให้คำปรึกษาก่อนส่งต่อไปที่ต่างๆ รวมทั้งตัดชุดแต่งงานแบบเมดทูออเดอร์ด้วย ซึ่งเราอยากได้ช่างภาพ ช่างแต่งหน้าชาวไทยมาช่วย เพราะที่พม่าขาดแคลน โดยคิดค่าบริการทั้งหมดครบวงจรเริ่มต้นที่ 100,000 เหรียญ”
นอกจากจะเปิดซูเล พลาซ่าขึ้นใจกลางเมืองย่างกุ้งแล้ว ยังถือเป็นครั้งแรกที่ยูมิ คัตซึระ ดีไซเนอร์โอ กูตูร์ชื่อดังของญี่ปุ่น มาร่วมเปิดแบรนด์ชุดเจ้าสาวครั้งแรก พร้อมจัดแฟชั่นโชว์คอลเล็กชั่นชุดแต่งงานเป็นครั้งแรกในพม่า ณ ห้องบอลรูม โรงแรมแชงกรีล่า เมียนมา พร้อมแบรนด์ชั้นนำอื่นๆ อย่างโมนาจ และอาม ซาเล่
ยูมิ คัตซึระ เผยว่า ตลาดเสื้อผ้าชั้นสูงของพม่าตอนนี้นับว่าเพิ่งจะเริ่มต้น ทำให้มีช่องว่างตลาดให้เราเข้าไปสู้ได้และมีโอกาสโตขึ้นอีกมาก คนพม่าใส่ชุดแต่งงานแบบตะวันตกมากขึ้น จึงเลือกมาเปิดเป็นสาขาแรกในอาเซียน จากแฟรนไชส์ที่มีทั้ง 60 สาขา ซึ่งชุดที่นำมาจำหน่ายที่พม่านี้ ก็จะคัดเลือกแบบที่มีความเป็นเอเชียน ที่ดูแล้วน่ารัก ไม่เซ็กซี่มากไป โดยเลือกวัตถุดิบจากทั้งญี่ปุ่นและยุโรป ที่สำคัญคือเรามีเมด ทู ออเดอร์มีช่างประจำให้สั่งตัดได้ใช้เวลา 5-6 เดือน ซึ่งเราทำไม่เกินปีละ 200 ชุดทั่วโลก
สำหรับเทรนด์ชุดแต่งงานของพม่า ปาป้า แห่งแบรนด์โมก๊ก ปาป้า ดีไซเนอร์ชื่อดังเบอร์ต้นๆ ของพม่า เผยว่า ประเพณีแต่งงานของพม่าเหมือนกับคนไทย คือจะมีพิธีแต่งงานที่ใช้ชุดลองจีตามสไตล์ และใช้ชุดแต่งงานแบบตะวันตกในช่วงปาร์ตี้ตอนเย็น ซึ่งหลังจากที่ดีไซเนอร์พม่าเดินทางไปเรียนฝรั่งเศส มิลานกลับมา ก็เริ่มรู้จักดีไซน์ชุดต่างๆ มากขึ้น อย่างชุดแต่งงานพม่าชุดหนึ่งหากเป็นผ้าไหมปักดิ้นทองราคาจะเริ่มต้นที่ 5,000 เหรียญสหรัฐ ในพิธีทั้ง 7 พิธีนั้น จะใช้ชุดลองจีแล้วกว่า 5 ประเพณีด้วยกัน
“นอกจากเทรนด์ชุดแต่งงานแล้ว ทุกวันนี้ในชีวิตประจำวันชาวพม่าก็มักจะแต่งกายผสมผสานจากอิทธิพลของอองซาน ซูจี ด้วยเสื้อชั้นบนแบบร่วมสมัยกับโสร่ง ลองจี อาจมีผ้าคลุมไหล่แบรนด์ดังๆ เวลาออกงานบ้าง ซึ่งปัจจุบันนี้ดีไซเนอร์รุ่นใหม่ๆ ของพม่าก็กลับมาพัฒนาสิ่งทอเหล่านี้ การผลิตมีเทคนิคและเทคโนโลยีที่ดีขึ้น มีเทรนด์ต่างๆ ตามแบบแฟชั่นตะวันตกด้วย”
โอกาสใหม่ของธุรกิจพม่า
