ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ |
---|---|
ผู้เขียน | พิศณุ นิลกลัด |
เผยแพร่ |
คลุกวงใน
ใครที่ชอบอากาศเย็น…ช่วงวันหยุดยาวส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ถ้าไป “เคาต์ดาวน์” ที่เขาใหญ่คงมีความสุข เพราะคืนวันที่ 31 ธันวาคม และ 1-2 มกราคม อุณหภูมิที่เขาใหญ่ช่วงหัวค่ำและเช้าตรู่อยู่ระหว่าง 23-19 องศาเซลเซียส
หนาวสุดช่วงตี 2 ถึงตี 5 … ลงไปที่ 17 องศา
เขาใหญ่เป็นเขตอากาศหนาวที่อยู่ใกล้กรุงเทพฯ ที่สุด จากบ้านผมแถวๆ แฟชั่นไอส์แลนด์ รามอินทรา ถึงเขาใหญ่ 168 ก.ม. ขับรถแบบไม่เร่งร้อนใช้เวลา 2 ช.ม. ถึง 2 ช.ม. 15 นาที แล้วแต่สภาพการจราจร
ยกเว้นวันหยุดสงกรานต์ ระยะทาง 168 ก.ม. เท่าเดิม แต่ใช้เวลาเดินทาง 7 ชั่วโมงครึ่ง!
ผมเจอมา 2 ปีติดต่อกันเลยเลิกไปเขาใหญ่ช่วงสงกรานต์
วันหยุดยาวช่วงเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ไปเขาใหญ่รถติดใช้เวลาเยอะเหมือนกัน แต่ไม่นาน 7-8 ช.ม. เท่าสงกรานต์
อย่างปีนี้ผมเลือกออกจากกรุงเทพฯ บ่ายวันที่ 30 ธันวาคม ใช้เวลา 3 ชั่วโมงถือว่ารับได้ พรรคพวกออกวันที่ 31 ธันวาคม ใช้เวลา 4 ชั่วโมงหรือมากกว่านิดหน่อย
ก็ยังดีกว่าช่วงสงกรานต์
พอถึงเขาใหญ่แล้วคุ้ม…อากาศเย็นและสะอาด สูดลมหายใจได้เต็มปอด
เห็นเขาโฆษณาว่ามีโอโซนมากเป็นที่ 7 ของโลก…ท่าจะจริง
เทศกาลปีใหม่ปีนี้คนไปเที่ยวเขาใหญ่เยอะกว่าปีที่แล้ว ช่วงเวลาอาหารมื้อเที่ยง และมื้อค่ำ ถนนธนะรัชต์รถติดมาก
ถนนธนะรัชต์ ความยาว 20 กิโลเมตร เป็นถนนสายหลักของเขาใหญ่ มีร้านอาหาร โรงแรม รีสอร์ต บ้านพักและเพิงขายผลไม้ท้องถิ่นริมทางเป็นระยะๆ ทั้งสองฟากถนน ทุกแห่งทุกที่คนแน่นเหมือนกันหมด
พูดถึงร้านอาหารที่เขาใหญ่ ช่วง 5 ปีที่ผ่านมามีร้านอาหารเกิดใหม่มากมาย ส่วนใหญ่เป็นร้านสวยๆ จับตลาดคนกรุงเทพฯ และนักท่องเที่ยวผู้มีอันจะเหลือกิน
ร้านเก่าที่ผมไปทานครั้งแรกเมื่อปี 26 ปีก่อนโน้น เดี๋ยวนี้ก็ยังอยู่ และอยู่อย่างมั่นคงแข็งแรงซะด้วยคือ ร้านครัวหญ้าคา กับร้านครัวลุงชุบ
ทั้งสองร้านนี้อยู่ใกล้กัน ขายอาหารไทยแบบเดียวกัน จับตลาดชาวบ้านและคนชอบอาหารอร่อยของท้องถิ่นโดยไม่ให้ความสำคัญกับบรรยากาศ
อาหารจานเด็ดของครัวหญ้าคาที่เป็น “เด็ดอมตะ” มาตลอดคือขาหมูทอด ผัดเผ็ดหมูป่า ต้มยำไก่บ้าน ทอดมันปลากราย และผัดเห็ดหอมสด
มีอยู่จานหนึ่งที่ผมทานครั้งแรกเมื่อ 26 ปีที่แล้ว แล้วก็ก๊อบปี้มาทำทานเองจนถึงทุกวันนี้คือ ผักกาดขาวผัดเต้าเจี้ยว
ใช้ความเค็มของเต้าเจี้ยวแทนน้ำปลาหรือซอสอย่างอื่น กระเทียมทุบพอแตกเพื่อให้ได้เคี้ยว ทานตอนเพิ่งลงจากกระทะ อร่อยมาก
ส่วนร้านครัวลุงชุบเป็นร้านเล็กๆ ที่ผมเคยคิดว่าจะอยู่ไม่ได้เพราะอยู่ใกล้กับครัวหญ้าคาและขายอาหารจับตลาดเดียวกันเป๊ะ
แต่ปรากฏว่าถึงวันนี้ 26 ปีผ่านไป ครัวลุงชุบก็ยังอยู่…อยู่แบบโตกว่าเดิม (อีกเล็กน้อย) ซะด้วย
ลูกค้าของลุงชุบส่วนใหญ่เป็นลูกค้าเก่า เป็นนักชิมที่ไม่ชอบความอึกทึกพลุกพล่านแบบครัวหญ้าคา
อาหารจานอร่อยของครัวลุงชุบที่ควรสั่งคือ แกงส้มชะอมทอด ปลาดุกผัดเผ็ด เด็ดทั้งผัดสดและทอดก่อนผัด
ทั้งสองร้านนี้อยู่ก่อนถึงประตูทางขึ้นเขาใหญ่ 3 ก.ม.
อีก 2 ร้านที่ลูกค้าเยอะทุกวันหยุดทุกฤดูกาลคือ เป็นลาว และครัวภาคกลาง
เป็นลาว วันนี้ขยายร้านอีก 1 เท่าตัว แต่ก็ยังเล็กเกินไปเมื่อถึงช่วงวันหยุดยาวและหยุดเทศกาล
เป็นร้านขายอาหารอีสานที่คนดัง ไฮโซ และลูกค้าตลาดบนเข้าไปนั่งทานด้วยความมั่นใจในเรื่องรสชาติ คุณภาพวัตถุดิบ ความสะอาด ราคา และทุกจานไม่มีผงชูรส
เริ่มต้นจากทำเล่นๆ ทำสนุกๆ กลายเป็นร้านที่ทำแล้วมั่งคั่ง
สำหรับครัวภาคกลาง เป็นร้านอาหารไทยเปิดใหม่ อายุประมาณ 3 ปีเห็นจะได้ แต่เติบโตแข็งแรงมั่นคงรวดเร็วมาก
เดี๋ยวนี้ถ้าเป็นวันหยุดยาว ถ้าไม่จอง อาจต้องรอนาน
เป็นร้านสะอาดสะอ้าน อร่อยมากทุกจานถึงขนาดกางเมนูแล้วหลับตาจิ้มได้เลยไม่ว่าจะเป็น ขนมจีนน้ำพริก วุ้นเส้นผัดชะอมกุ้ง เย็นตาโฟผัดแห้ง ปลาดุกกรอบผัดพริกขิง กุ้งฟูผัดพริกขิง แกงส้มไหลบัว แกงเขียวหวานโรตี และ ฯลฯ
เป็นร้านที่เมนูมีเป็นร้อยอย่างให้เลือก ผมไม่เคยเจอจานที่ไม่อร่อยตลอด 2 ปี ที่เป็นลูกค้า
ครัวภาคกลางอยู่บนถนนกุดคล้า-ผ่านศึก ใกล้ๆ แยกทางเข้ากรานด์ มอนเต้ เป็นร้านจับตลาดลูกค้าระดับกลางขึ้นไป มหาเศรษฐีหมายเลข 1 ของเมืองไทยแวะไปชิมบ่อยๆ
ในกรณีที่เป็นคนวัย 18-40 ปี ชอบร้านแบบ “เก๋ เท่ คูล” แนะนำให้ไปทานที่ The Birder”s Lodge Caf?
แม้จะเป็นร้านอาหารเปิดใหม่ แต่หาง่าย ไปมาสะดวก ที่จอดรถกว้างขวาง
อยู่ตรงข้ามร้านเป็นลาว และอยู่ติดพริโม่ เปียซซ่า
เจ้าของร้านเป็นสามี-ภรรยาหนุ่มสาว สามีเรียนจบทางด้านการออกแบบจากอเมริกา ภรรยาจบปริญญาโทจุฬาฯ พ่อมีที่ดินที่เขาใหญ่ แม่มีฝีมือทางด้านทำอาหาร เลยตัดสินใจสร้างรีสอร์ตเท่ๆ ชื่อ The Birder”s Lodge แล้วก็ทำร้านอาหารไว้บริการทั้งแขกที่ไปพักและนักท่องเที่ยว
ร้านนี้น่าสนใจตั้งแต่ภาพรวมของร้านที่มองเห็นจากด้านนอกเป็นอาคารไม้ล้วนๆ รูปทรงทันสมัย ที่นั่งทานทั้งด้านนอกด้านในใครเห็นต้องหยิบกล้อง หยิบสมาร์ตโฟนออกมาถ่ายรูป
ขนาดเก้าอี้นั่งทุกตัวทุกสไตล์ยังใส่ไอเดียเข้าไปเลยครับ
อาหารที่เดอะ เบอร์เดอร์ส ลอดจ์ เน้นอาหารจานเดียว แต่เป็นจานเดียวแบบสมัยใหม่ เช่น ข้าวแกงป่าไก่ หมูโค้ว ก็เสิร์ฟแยกชิ้นส่วนเป็นข้าวสวย 1 จาน แกงป่าไก่ 1 ถ้วย หมูโค้วหรือหมูรวนเค็ม 1 ถ้วย
ช่วงปีใหม่ผมและก๊วนทานมื้อเย็นที่นี่ 3 วัน ทานวันแรกแล้วทั้งชอบทั้งทึ่งที่บุคลิกของร้านไม่น่าทำอาหารไทยได้อร่อยแบบคะแนนเต็ม 10 ไม่มีได้ต่ำกว่า 7 แม้แต่จานเดียว
หลายจานได้ 8-9 คะแนน
เลยไปทานอีก 2 วันติดต่อกันแล้วสั่งอาหารไม่ซ้ำของเดิมแม้แต่จานเดียว
ปรากฏว่าอร่อยทุกจาน
สอบถามประวัติของแม่ครัว จึงทราบว่าเดี่ยวมือ 1 เคยอยู่ร้านดังมากมาก่อน หลายเมนูต้องปรุงด้วยความเชี่ยวชาญเฉพาะตัว เธอลงมือเองตั้งแต่ต้นจนจบ เช่น ข้าวปลาสามรสที่ทอดปลาหั่นเป็นสี่เหลี่ยมลูกเต๋าได้สุกแห้งแบบกรอบนอกนุ่มใน เนื้อปลาใช้ปลาทับทิมตัวโตเนื้อหนา และเลือกซื้อแต่เฉพาะปลาเป็นเท่านั้น นักรับประทานปลาทานคำแรกทราบทันทีว่าปลาของเขาสดมาก
อีก “เมนู” ที่เดี่ยวมือ 1 ลงมือทำเองคือน้ำจิ้มทุกชนิด
วันสุดท้ายสั่งเมี่ยงปลาแซลมอน เป็นปลาแซลมอนย่างซีอิ๊ว 1 ชิ้นทานกับเส้นหมี่ขาว เสิร์ฟแยกปลาแยกหมี่ พร้อมน้ำจิ้ม 1 ถ้วย ผักสด 5-6 ชนิดอีก 1 โถแก้วใหญ่
ทานคำแรก…ตักปลาแซลมอนย่างวางบนหมี่ขาวที่จัดมาเป็นคำๆ ราดด้วยน้ำจิ้ม…อร่อยครับ
เขาทำน้ำจิ้มได้อร่อยจนต้องขอดูตัวคนปรุงน้ำจิ้ม อยากถามสูตรว่านอกจากฝีมือแล้วเขาใส่อะไรลงไปบ้าง
เดอะ เบอร์เดอร์ส ลอดจ์ เปิดทุกวันตั้งแต่ 8 โมงเช้าถึง 4 ทุ่ม อาหารจานเดียวราคาเริ่มจากจานละ 95 บาทจนถึงแพงสุด 280 บาทคือเมี่ยงปลาแซลมอน
ศุกร์และเสาร์ตั้งแต่ 17.00-22.00 น. มีบาร์บีคิวสารพัดปิ้งย่างให้เลือกย่างเองด้านนอกร้าน
ค่ำคืนที่เขาใหญ่อากาศยังเย็นสบายไปอย่างน้อยๆ ก็ปลายเดือนนี้…อย่าลืมนะครับ ไปเขาใหญ่ หายใจช้าๆ ลึกๆ สัก 20 ครั้งติดต่อกัน จะทราบว่าอากาศสะอาดเป็นอย่างไร