รวมสารพัดวิธี “แอ๊ว” คู่รักทุกสมัย จากร้องเพลงเกี้ยว ถึงแอบรักออนไลน์

จะเรียกว่า “ความรัก” ในสมัยนี้เป็น “รักออนไลน์” ก็คงไม่แปลก เพราะรวดเร็ว ฉับไว ไม่ต้อง “รอรัก” ให้เสียเวล่ำเวลาแบบคนสมัยก่อนที่เทคโนโลยียังเข้าไม่ถึง

แต่กว่าที่ “วิวัฒนาการความรัก” จะก้าวล้ำนำสมัยรวดเร็วทันใจแบบนี้ อยากรู้ไหม สมัยก่อน พ่อ-แม่ ปู่-ย่า-ตา-ยายของเรา เขาจีบกัน และรักกันอย่างไร?

ทั้งๆ ที่ไม่มีเทคโนโลยีในการอำนวยความสะดวก แต่เหตุใด รักของพวกเขาถึงหนักแน่นมั่นคง “ถือไม้เท้ายอดทองกระบองยอดเพชร” สถิติการหย่าร้างไม่สูงขึ้นทุกปีๆ เหมือนคนสมัยนี้
คนที่จะให้คำตอบได้ดีคนหนึ่ง ก็คงเป็น “อัญรัตน์ จรัสมาธุสร” บรรณาธิการบริหาร นิตยสารแต่งงาน WE ที่คร่ำหวอดอยู่ในแวดวงแห่งความรักจนได้โอกาสถ่ายทอดเรื่องนี้กันหน่อย

อัญรัตน์

เลิฟกูรู บอกว่า หากอยากรู้ว่าแต่ละช่วงเวลา คู่รักเขาบอกรักกันอย่างไร ให้ดูกันที่เทคโนโลยีสมัยนั้นไว้ก่อน

Advertisement

“ความจริงแล้ววิวัฒนาการของความรัก เริ่มตั้งแต่ภาพเขียนฝาผนังด้วยซ้ำ ทั้งผนังถ้ำหรือโบสถ์วัด ที่มีภาพวาดของคนหรือลิงแอบพรอดรักกัน มีเยอะมาก เพราะตอนนั้นยังไม่มีกระดาษ ภาพแบบนี้จึงดัง เห็นชัดๆ เลยคือภาพกระซิบรักที่วัดภูมินทร์ ที่ตอนนี้โด่งดังมาก”

แต่หากจะให้ใกล้ตัวกันเข้ามาหน่อย ก็ต้องเริ่มตั้งแต่สมัยปู่ย่าตายาย ที่เริ่มบอกรักกันด้วยการ “ร้องเพลงเกี้ยวพาราสี” กัน อย่างเพลงยาวต่างๆ หรือการเขียนกลอน เพราะคนไทยเจ้าสำบัดสำนวนของแท้

ก่อนจะเริ่มพัฒนามาเป็น “เขียนจดหมายจีบกัน

อัญรัตน์บอกว่า “นี่หละคือความน่ารัก”

“เพราะว่าจะไตร่ตรองข้อความต่างๆ ที่จะเขียนแล้ว กว่าจะผ่านขั้นตอนของเลือกกระดาษ เลือกซอง ยันติดแสตมป์ส่งไปรษณีย์ ก็กินเวลาเข้าไปหลายวัน คนเขียนก็คิดเยอะ คนรับก็รอคอย ให้ความสัมพันธ์ได้หยั่งลึก”

ก่อนจะพัฒนามาเป็น “โทรศัพท์หยอดเหรียญ” หรือ “แบบบัตรโทรศัพท์” โดยเฉพาะเด็กหอ ในมหาวิทยาลัย ที่จะต้องมีอินเตอร์คอม หรือ “เครื่องสื่อสารไร้สาย” เรียกหาให้คู่รักลงมาพบกัน

ตามติดมาด้วย “เพจเจอร์” หรือ “วิทยุติดตามตัว” ที่ให้โทรเข้าไปฝากข้อความให้ผู้รับโทรกลับได้

เป็นความรักแบบไม่ได้รวดเร็วกระชับฉับไวที่กูรูเลิฟบอกว่า มันทำให้คู่รัก “ตรงต่อเวลา” เพราะเราไม่มีโทรศัพท์ติดอยู่กับตัว เวลานัดกันต้องตรงเวลาเป๊ะๆ จะนัดกันก็ต้องบอกเจาะจงว่า ให้รอตรงน้ำพุหน้าโรงหนัง แล้วต้องไม่สาย เพราะถ้าสายคู่เดทก็อาจจะกลับไปแล้ว

นอกจากนี้ ยังมีการส่งของขวัญแปลกๆ ที่คนสมัยนี้อาจไม่เข้าใจ เช่น “บัตรอนุญาติจีบ” หรือการ “อัดเพลง” ในวิทยุส่งให้กัน ซึ่งหลายคนก็คงเคยสัมผัสกับการอัดเสียงที่มีดีเจพูดแทรกเข้าไปในเพลงด้วย

“คนสมัยนั้นพยายามมาก เวลาจะโทรศัพท์ไปจีบใครที่บ้านได้ ต้องไปสืบให้ได้ว่าพ่อแม่เขาชื่ออะไร เพื่อจะได้ไปเปิดสมุดหน้าเหลืองหาเบอร์โทรศัพท์เขามาให้ได้ ไม่เหมือนสมัยนี้ที่แค่ส่องคิวอาร์โค้ดก็ได้ไลน์เขามาแล้ว”

“รักในสมัยก่อนจึงเป็นรักต้องจริงใจ ตั้งใจ และมีเวลาให้”

มาถึงยุคสมัยต่อไป หรือช่วงเวลาที่อินเตอร์เน็ตเข้ามามีอิทธิพล ที่เรียกได้ว่าเป็นจุดเปลี่ยน ของ “วิธีการบอกรัก” จริงๆ

อัญรัตน์เผยว่า สมัยมีอีเมลล์ใหม่ๆ อาจารย์ท่านหนึ่งเคยพูดว่า คนสมัยนี้ “สื่อสารกันเร็ว จีบเร็ว” จากที่เคยเขียนจดหมายที่ละตัวอักษร ก็เพียงแค่พิมพ์แล้วกดส่ง

“เป็นจุดเปลี่ยนโลก เพราะเร็วจนแก้ไขอะไรไม่ได้”

picture2009-3110255210504
ภาพจาก www.weekendhobby.com

และการเข้ามาของอีเมลล์ ก็กลายเป็นที่มาของโปรแกรมแชทดังอย่าง MSN ที่แม้จะแชทได้เร็วทันใจ แต่ก็ยังจำเป็นต้องมีอีเมลล์ส่วนตัวของกันและกัน ต้องออนไลน์ถึงจะคุยกันได้ และยังต้องสนใจกันจริงๆ ถึงจะเข้าไปกดดอกจันทร์ที่หน้าชื่อดูโปรแกรม My space หรือไดอารี่ของแต่ละคน ที่หากไม่สนิท หรือไม่ชอบ ไม่ตั้งใจจริงๆ แล้ว ยากที่จะเข้าไปกดอ่าน

จนกระทั่งทุกวันนี้ ที่คนเราอาศัยเทคโนโลยีทันสมัย ที่ “แชท” ได้ตลอดเวลา รวมถึงฝากข้อความไว้ได้เสมอแม้จะไม่ออนไลน์ ไล่มาตั้งแต่ “ไฮไฟว์, ยูทูป, เฟซบุ๊ค, วอทสแอพพ์ และไลน์

“เป็นรักยุคดิจิตอล ที่อะไรๆ ก็ง่ายขึ้น เราอาจไม่ต้องใช้ความพยายามจะหาข้อมูลของอีกฝ่ายมาก เพราะแค่เสิร์ช google ก็ขึ้นเสียแล้ว”

มองเผินๆ หลายคนอาจจะคิดว่าเพราะคนสมัยก่อนตั้งใจกว่า พยายามทุ่มเทให้กันมากกว่า ต่างกับคนยุคดิจิตอลที่รักง่ายเบื่อง่าย

แต่ บก.นิตยสาร WE คิดว่าอยากให้มองข้อดีไว้ก่อนดีกว่า ว่า

“เทคโนโลยีทำให้คนเราใกล้ชิดกันมากขึ้น และใช้ข้อดีนี้กระชับความสัมพันธ์จะดีกว่า” บก.นิตยสาร WE ทิ้งท้าย

lad01120258p1

ความรัก
คลื่นพลังอำนาจสูงสุด

รศ.สุชีลา ตันชัยนันท์ นักวิชาการอิสระในแนวพุทธเฟมินิสม์ และอาจจะกล่าวได้ว่า เป็นกูรูด้านความรักด้วยวัยที่เห็นโลกมาพอสมควร เล่าว่า หากถามว่าการสื่อสารสมัยก่อนคนบอกรักกันอย่างไร อันนี้เป็นเรื่องของยุคสมัย สมัยที่ดิฉันเป็นวัยรุ่น คนยุคนั้นสื่อสารด้วย “จดหมาย” เป็นส่วนใหญ่ และหากใครมีทักษะทางวรรณกรรมก็จะแต่งกลอนให้กัน บอกรักด้วยภาษาดอกไม้ ละเมียดละไม

“ต่างจากสมัยปัจจุบัน ที่คนสื่อสารกันด้วยมือถือ มีไลน์ เฟซบุ๊ค อีเมล ที่มีความรวดเร็วมาก จนบางครั้ง ทำให้มองข้ามความละเมียดละไม ความสำคัญของเนื้อหา และความรู้สึกที่ซ่อนอยู่ในข้อความมันหายไป แต่ถ้ารอจดหมายจะเป็นอีกความรู้สึกอีกแบบหนึ่ง ที่มีทั้งความคิดถึง ห่วงหาอาทร ทำให้คิดทบทวนความรู้สึกที่มีต่อกันอย่างเข้าใจ”

“หรือบางครั้งมีปัญหากัน ก็ทำให้มีเวลาไตร่ตรอง ก่อนที่เราจะเขียนจดหมายไปต่อว่าใคร เราจะตัดสินใจอย่างใดอย่างหนึ่งที่มีผลลบกับชีวิตรักของเรารอบคอบมากขึ้น คนยุคก่อนถึงอยู่กันนานถือไม้เท้ายอดทองกระบองยอดเพชร อยากจะฝากถึงคนยุคนี้ ถ้าจะรักใครสักคน ขอให้คิดพิจารณา สื่อสารอย่างเข้าอกเข้าใจ อย่าด่วนตัดสินใจในเรื่องต่างๆ แต่ขอให้หยุดคิดนิดนึง” รศ.สุชีลาให้ข้อคิด และว่า

“พลังของรัก สามารถที่จะแก้ปัญหาชีวิตได้ ทำให้ชีวิตก้าวไปข้างหน้าได้ สามารถที่จะผ่านปัญหาอุปสรรคต่างๆ ได้ นักฟิสิกส์ด้านพลังงาน ยืนยันว่า พลังแห่งความรัก เป็นคลื่นพลังงานที่มีอิทธิพลหรือมีอำนาจสูงสุดของพลังงานทั้งหมด”

แต่ทุกวันนี้ รศ.สุชีลา บอกว่า คนมีความรักที่อาจจะคับแคบไปนิดหนึ่ง เป็นความรักแบบหนุ่มสาว ซึ่งก็เป็นเรื่องยุคสมัย ที่มีความปัจเจก ในทางพุทธบอกว่า ความรักมี 2 แบบ คือ 1.รักแบบราคะ 2.รักแบบเมตตา

“หากเราขยายความรักเป็นเรื่องของความเมตตา นำไปโอบอุ้มความรักแบบราคะ จะทำให้ชีวิตรักยืนยาว ชีวิตคู่ประสบแต่สิ่งดีงาม เข้าอกเข้าใจกัน อยากให้หันกลับมามองเรื่องภูมิปัญญาไทยที่เน้นชุมชนเครือญาติ ความรักกว้างขวางกว่าเรื่องส่วนตัว หรือหันมาศึกษารักในมุมมองของศาสนาพุทธแบบเมตตา เพื่อให้ก้าวข้ามวิกฤติชีวิตต่างๆได้” รศ.สุชีลาทิ้งท้าย

 

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image