ที่มา | มติชนรายวันหน้า 18 |
---|---|
เผยแพร่ |
“จากวันนี้สักหมื่นปี ต้นไม้ที่พ่อปลูก ต้องสวยต้องงดงามและยิ่งใหญ่ สืบสานและติดตาม จากรอยที่พ่อตั้งใจ เหงื่อเราจะเทไป ให้ต้นไม้ของพ่อยังงดงาม”
เนื้อเพลงท่อนหนึ่งของเพลง “ต้นไม้ของพ่อ” กลายเป็นวลีเตือนใจให้กับใครหลายคน แม้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช เสด็จสู่สวรรคาลัย เมื่อวันที่ 13 ตุลาคมที่ผ่านมา แต่พระมหากรุณาธิคุณที่ทรงสร้างให้กับชนชาวไทยตลอด 70 ปี ที่ทรงเป็น “กษัตริย์ผู้ทรงทศพิธราชธรรม” นั้น ทำให้เหล่าพสกนิกรไทยผู้เป็นต้นไม้ของพ่อตราตรึงอยู่ในหัวใจคนไทย ไม่เลือนหายไปได้เลย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเหล่า “คนรุ่นใหม่” หลายคน ต้นกล้าเล็กๆ ที่หยั่งลึกลงบนแผ่นดินไทย ที่ยึดพระองค์เป็นต้นแบบแห่งความดี และน้อมนำ “คำสอนพ่อ” ไปปฏิบัติดำเนินตามรอยเบื้องพระยุคลบาท
เฉกเช่น สโรชา กิตติสิริพันธุ์ อายุ 23 ปี ผู้พิการทางสายตา บัณฑิตคณะอักษรศาสตร์ จุฬาฯ ปัจจุบันเป็นพนักงานในสำนักพิมพ์แห่งหนึ่ง ซึ่งด้วยความรักทำให้เธอเดินทางมาร่วมแสดงความอาลัยครั้งสุดท้าย ที่ศาลาสหทัยสมาคม ในพระบรมมหาราชวัง บอกเล่าความประทับใจที่มีต่อพ่อหลวงของชาวไทยว่า ส่วนตัวประทับใจที่พระองค์ทรงมีพระเมตตาต่อคนตาบอดเสมอมา พระองค์เสด็จฯไปโรงเรียนคนตาบอดมาตั้งแต่อดีต ก่อนที่ตนเองจะได้เข้าศึกษาที่โรงเรียนคนตาบอดกรุงเทพฯ ทำให้เราทุกคนรุ่นพี่รุ่นน้อง ต่างระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ และแน่ใจว่าพระราชกรณียกิจต่างๆ ที่พระองค์ได้ทรงทำนั้น จะเป็นแบบอย่างและประโยชน์ให้กับคนไทยหลายคน
“หากจะให้พูดถึงความประทับใจที่สุดนั้น คงจะบรรยายออกมาไม่หมด เพราะไม่ว่าสิ่งใดล้วนสร้างคุณประโยชน์ อย่างตัวเองเล่นดนตรี ก็ได้เห็นพระอัจฉริยภาพด้านดนตรี ที่ได้พระราชนิพนธ์บทเพลงไว้มากมาย เป็นด้านความบันเทิงที่ให้กับทุกคน ขณะที่ด้านวิทยาศาสตร์ พระองค์ทรงเป็นกษัตริย์นักประดิษฐ์ ทั้งด้านเกษตร และอุปกรณ์ต่างๆ เป็นความอยู่รอดให้กับคนไทย ขณะที่ด้านการศึกษา ทรงจัดทำสารานุกรมหลากหลายด้าน เป็นการรวบรวมองค์ความรู้อันเป็นประโยชน์ให้กับคนไทยทั้งแผ่นดิน พระอัจฉริยภาพของพระองค์ครอบคลุมในทุกด้านจนมิอาจหาความที่สุดได้จริงๆ” สโรชากล่าว
บุษกร ศรีชัยชิต อายุ 19 ปี นักศึกษาคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม เผยว่า แม้ว่าจะเป็นคนรุ่นใหม่ที่เติบโตมาในขณะที่พระองค์มีพระชนมพรรษามากแล้ว จึงได้เห็นเพียงแค่ภาพถ่ายพระราชกรณียกิจ การทรงงานด้านต่างๆ ไม่เหมือนกับที่คุณพ่อคุณแม่ได้เห็น ในทุกๆ ภาพนั้นจะได้เห็นพระองค์ มีแผนที่ ปากกา และกล้องถ่ายภาพ อยู่เสมอ สื่อความหมายได้ว่าพระองค์ทรงงานอยู่ตลอดเวลา นอกจากนี้ ในฐานะเป็นคนเล่นกีฬา พระองค์ยังทรงเป็นต้นแบบของนักกีฬา อย่างกีฬาเรือใบที่ทรงคว้าเหรียญทองมาครองได้สำเร็จ ที่สำคัญคือพระราชดำรัสของพระองค์ที่สอนว่า จะทำอะไรต้องทำจริงให้ได้ดั่งที่ตั้งใจไว้ ส่วนตัวเป็นคนที่ล้มเลิกความตั้งใจได้ง่าย จึงคิดว่านี่คือสิ่งที่จะยึดไว้ในการดำเนินชีวิตต่อไป
ขณะที่อีกหนึ่งนักศึกษาแพทย์ มหาวิทยาลัยเดียวกัน ฟูฟี่-พัชนี ขาวผ่อง อายุ 19 ปี ชาวร้อยเอ็ด เผยว่า ตั้งแต่เล็กมาแม่มักจะอ่านพระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชให้ฟังอยู่เสมอๆ ทำให้เราซึมซับมาตั้งแต่เด็ก โตมาก็ได้ชมภาพข่าวเก่าๆ ในยูทูบบ้าง เป็นความรู้สึกประทับใจที่เก็บไว้เสมอมาโดยเฉพาะเรื่องราวช่วงที่พระองค์ประทับอยู่โรงพยาบาลศิริราชที่แม้จะทรงพระประชวรแต่ก็ยังทรงห่วงเรื่องน้ำ เสด็จฯมาทอดพระเนตรน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาด้วยพระองค์เอง วันนี้แม้พระองค์จะไม่อยู่แล้ว แต่คำสอนเรื่องการทำเพื่อคนอื่น เรื่องจิตอาสา เป็นสิ่งที่ส่วนตัวยึดถือมาตลอด ไม่ว่ามีโอกาสใดที่จะทำเพื่อคนอื่นได้ ก็พร้อมทำเสมอ
ปิดท้ายด้วย ฐิติมา มุสิกสังข์ หรือปุย อายุ 20 ปี นักศึกษาภาควิชาสัตวศาสตร์และสัตว์น้ำ คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ที่มีโอกาสได้เข้าไปศึกษาโครงการพระราชดำริต่างๆ อย่างแก้มลิง ชั่งหัวมัน เผยว่า โครงการเหล่านี้ถือเป็นความประทับใจอย่างมาก เพราะส่วนตัวเรียนสัตวศาสตร์ ก็รู้ว่าพระองค์ทรงให้ความสำคัญกับพันธุ์สัตว์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นปลา โคนม แพะ ที่หลายคนอาจไม่ได้ให้ความสำคัญเช่นพระองค์ ซึ่งผลพลอยได้ทำให้เรารู้จัก “พอเพียง” เห็นคุณค่าของเกษตรต่างๆ รอบตัว
“ไม่นานมานี้ได้อ่านพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชที่ว่า “ใครจะวิจารณ์เราอย่างไรก็ช่าง ไม่ต้องไปเสียเวลาตอบโต้” และ “เมื่อมีคนเล่าว่าตัวเขามีส่วนในเหตุการณ์สำคัญอะไรก็ตาม เราไม่ต้องไปคุยทับ ปล่อยเขาฟุ้งไปตามสบาย” ทำให้รู้สึกว่าคำพูดนี้ทำให้ฉุกคิดได้มาก และยึดถือเป็นหลักปฏิบัติได้ในชีวิตต่อจากนี้”
ต้นกล้า ผู้ขอก้าวตามรอยบาทองค์พระราชา