ที่มา | หนังสือพิมพ์มติชน หน้า18 |
---|---|
ผู้เขียน | [email protected] |
เผยแพร่ |
เอเอฟพี รายงานผลการศึกษาที่น่าสนใจชิ้นหนึ่ง ที่ระบุว่า ผู้สูงอายุที่ได้รับการรักษาโดยแพทย์ซึ่งเป็นผู้หญิง ระหว่างนอนรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล มีโอกาสรอดชีวิตสูงกว่า และมีโอกาสเสี่ยงที่จะต้องกลับเข้าไปนอนรักษาตัวในโรงพยาบาลอีกน้อยกว่าผู้ป่วยสูงอายุที่ได้รับการรักษาโดยแพทย์ซึ่งเป็นผู้ชาย
นี่เป็นผลการศึกษาที่ได้จากการศึกษาข้อมูลในกลุ่มตัวอย่างมากกว่า 1 ล้านคน ระหว่างปี พ.ศ.2554-2557 และได้รับการตีพิมพ์ในวารสารสมาคมแพทย์อเมริกัน เมื่อปลายเดือนธันวาคมที่ผ่านมา
ทั้งนี้ ในรายงานผลการศึกษาระบุว่า ผู้ป่วยสูงวัยที่ได้รับการดูแลรักษาโดยแพทย์หญิง มีโอกาสเสี่ยงน้อยกว่าที่จะเสียชีวิตภายในระยะเวลา 30 วัน ที่เข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาล หรือมีโอกาสเสี่ยงน้อยกว่าที่จะต้องกลับเข้าไปนอนรักษาตัวในโรงพยาบาลอีก หลังออกจากโรงพยาบาลในระยะเวลา 30 วัน
ทั้งนี้ ยูสุเกะ ทสึกาวะ หัวหน้าทีมศึกษาวิจัยรายงานชิ้นนี้ของฝ่ายบริหารและกำหนดนโยบายของโรงเรียนสาธารณสุขในเครือของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ประเทศสหรัฐอเมริกา กล่าวว่า ถ้าหากนายแพทย์สามารถประสบความสำเร็จในการรักษาเช่นเดียวกับแพทย์หญิง ก็จะทำให้แต่ละปีมีผู้ป่วยสูงวัย ซึ่งมีอายุมากกว่า 65 ปีเสียชีวิตลดลงไป 32,000 ราย ซึ่งเป็นตัวเลขเท่ากับจำนวนผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ทั่วประเทศสหรัฐอเมริกาในแต่ละปี
“ความแตกต่างระหว่างอัตราการเสียชีวิต ทำเอาพวกเราประหลาดใจจริงๆ โดยจากผลการศึกษาแสดงให้เห็นว่าเพศของแพทย์เป็นปัจจัยที่มีความสำคัญต่อผู้ป่วยที่มีอาการหนัก” ยูสุเกะกล่าว
ในรายงานผลการศึกษาระบุด้วยว่า นี่เป็นการศึกษาสำรวจครั้งแรก ที่ทำขึ้นเพื่อต้องการศึกษาหาผลลัพธ์เปรียบเทียบระหว่างผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาโดยนายแพทย์และแพทย์หญิงว่าจะมีผลลัพธ์เป็นอย่างไร โดยในผลการศึกษาพบว่า ผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาโดยแพทย์หญิงมีโอกาสที่จะเสียชีวิตลดลง 4% เมื่อเปรียบเทียบกับผู้ป่วยสูงวัยที่รักษาโดยนายแพทย์ และยังพบด้วยว่าผู้ป่วยสูงวัยที่ได้รับการดูแลรักษาโดยแพทย์หญิง มีโอกาสเสี่ยงที่จะกลับเข้าไปนอนรักษาตัวในโรงพยาบาลอีก หลังจากออกจากโรงพยาบาลภายใน 30 วัน ลดลง 5%
ที่น่าสนใจก็คือ ในรายงานผลการศึกษาระบุด้วยว่า “นี่เป็นผลลัพธ์ที่พบอย่างแพร่หลายไม่ว่าในคลินิก หรือในโรงพยาบาลแบบใด รวมทั้งไม่ว่าจะเป็นโรคร้ายชนิดใดก็ตาม”
อย่างไรก็ตาม ในผลการศึกษาไม่ได้ระบุถึงสาเหตุที่ทำให้เกิดผลลัพธ์ที่แตกต่างเช่นนี้ แต่ในผลการศึกษาก่อนหน้านี้ ระบุว่าแพทย์หญิงมีแนวโน้มที่จะปฏิบัติตามแนวทางปฏิบัติทางคลินิก มากกว่านายแพทย์ นอกจากนั้น แพทย์หญิงยังมีการสื่อสารโดยมีผู้ป่วยเป็นศูนย์กลางมากกว่า
อาชิช เจฮา ศาสตราจารย์ด้านนโยบายสุขภาพและผู้อำนวยการสถาบันสุขภาพทั่วโลกฮาร์วาร์ด กล่าวว่า ปัจจุบันความเข้าใจที่ดีขึ้นถึงการเข้าถึงผู้ป่วยคือสิ่งที่มีความสำคัญมากกว่าเมื่อก่อน
“มีหลักฐานที่เห็นได้ชัดถึงการปฏิบัติที่แตกต่างกันระหว่างแพทย์หญิงและนายแพทย์ และจากผลการศึกษาที่เราได้ก็แสดงให้เห็นว่าความแตกต่างเหล่านั้นมีความหมาย และมีความสำคัญต่อสุขภาพของผู้ป่วย”
นายเจฮายังกล่าวทิ้งท้ายว่า “เราจำเป็นต้องทำความเข้าใจให้ได้ว่าทำไมแพทย์หญิงจึงมีผลทำให้อัตราการเสียชีวิตลดลง เพื่อที่ผู้ป่วยจะได้รับผลการรักษาที่ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ โดยที่ไม่ต้องคำนึงถึงเพศของแพทย์ผู้รักษา”
อนึ่ง ปัจจุบันในสหรัฐอเมริกา มีแพทย์หญิงอยู่ราว 1 ใน 3 ของแพทย์ทั่วประเทศ และมีนักศึกษาหญิงที่เรียนแพทย์อยู่ครึ่งต่อครึ่งกับนักศึกษาชาย