จับเข่าคุย ‘2 อดีตบิ๊กข้าราชการ’ พร้อมใจประสานเสียง ยก ‘ออกกำลังกาย’ ขึ้นวาระแห่งชาติ

จับเข่าคุย ‘2 อดีตบิ๊กข้าราชการ’ พร้อมใจประสานเสียง ยก ‘ออกกำลังกาย’ ขึ้นวาระแห่งชาติ

หากนับตั้งแต่ทั้งคู่รับราชการ กาลเวลาหลายสิบปีไม่ทำให้สายสัมพันธ์คู่บัดดี้ตีเทนนิสระหว่าง พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน อดีตรองนายกรัฐมนตรีและอดีตหัวหน้าคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.) และ พล.ต.อ.วุฒิ ลิปตพัลลภ อดีตผู้ตรวจราชการพิเศษประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (ระดับ 11) สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี แปรเปลี่ยน แม้วันนี้ “2 อดีตบิ๊ก” จะอยู่ในวัยเกษียณแล้วก็ตาม

ปัจจุบันทั้ง 2 ท่านยังเป็นคู่เล่นเทนนิสด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นสนามในกรุงเทพฯ ต่างจังหวัด ประเทศเพื่อนบ้าน เล่นเพื่อออกกำลังกาย ตลอดจนการแข่งขันกีฬาเทนนิสประเพณี 4 เหล่า

เมื่อครั้งร่วมแข่งขันเทนนิสประเพณี 4 เหล่า ประเภทคู่กิตติมศักดิ์

การเล่นกีฬาไม่เพียงช่วยให้ร่างกายแข็งแรง หรือรู้สึกสดชื่น แต่ยังทำให้รู้สึกมีความเป็น “สุภาพบุรุษ” รู้แพ้ รู้ชนะ รู้อภัย ไม่โทษกันเอง ทุกอย่างจบลงในเกมนั้นๆ เสมอ

Advertisement

“เกษียณมา 17 ปีแล้ว ไม่เคยเจ็บไข้ได้ป่วย ผมหาความสุขกับการออกกำลังกาย มีเหงื่อเปียกๆ แหม มันมีความสุขมาก บางทีเราไม่กิน แต่เหงื่อออกแล้วมีความสุข อิ่มมากกว่า (ยิ้ม)” พล.อ.สนธิเผยเคล็ดลับ

เมื่อย้อนถามถึงวินาทีตื่นมาสัมผัสการเกษียณอายุราชการ ไม่ต้องรับผิดชอบงานต่างๆ อีกต่อไป พล.อ.สนธิอมยิ้มอีกครั้งแล้วอธิบายความรู้สึกนั้นว่า “เหมือนยกภูเขาออกจากอก”

“ผมทำงานหนัก วันรุ่งขึ้นเหมือนยกภูเขาออกจากอก ตื่นกี่โมงก็ได้ ลุกขึ้นมาไม่มีแฟ้มแล้ว สบาย อย่าไปติดตรึงกับสิ่งที่มีอยู่ แล้วเราจะมีความสุขกับสิ่งที่จะเจอข้างหน้า สำคัญคือเรื่องสบายใจ…ในที่สุดมันสบายใจ คือความเป็นสัจธรรม ยึดธรรมะ ผมยังยืนยันว่านอนหลับ ทานได้ ออกกำลังได้ โอ้ย ใครจะมีสุขเท่าผมไม่มี”

Advertisement
พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน

ขณะที่ พล.ต.อ.วุฒิยึดหลัก “3 อ” คือ 1.ออกกำลังกาย 2.อาหาร และ 3.อารมณ์ พร้อมเสริมว่า อีกสิ่งสำคัญคือ “อย่าหาเรื่องใส่ตัว”

“เพื่อนผมหลายคนเกษียณแล้วเป็นหนี้ หรือทำในสิ่งที่สร้างความเสี่ยงให้ตัวเอง เช่น มีคนถามเยอะมากว่าไม่เล่นการเมืองหรือ ผมมองว่าการเมืองวันนี้กับวันวานมันไม่เหมือนกันเสียแล้ว ท่านสนธิเดี๋ยวนี้ก็วางมือแล้ว ผมว่าถ้าเราไม่เสี่ยงจะดีที่สุด

ตอนเป็นข้าราชการ บางอย่างเราทำได้ บางอย่างเราทำไม่ได้ กฎ ระเบียบ วินัย พอเกษียณแล้วหลักของผมคืออะไรที่ไม่เคยทำ แล้วอยากทำ ตอนนี้ทำแล้ว เช่น ไปเที่ยวต่างประเทศ มีสิทธิเสรีภาพอย่างเต็มที่”

ส่วน “อุบัติเหตุ” ระหว่างการเล่นกีฬาที่หลายคนอาจเป็นกังวล ทั้งคู่ยืนยันเป็นเสียงเดียวกันว่า “ไม่ได้ล้มกันง่ายๆ”

พล.อ.สนธิอธิบายว่า การออกกำลังกายตั้งแต่เด็กทำให้ช่วยเรื่องการทรงตัว ไม่ล้มง่ายๆ การวิ่งตีเทนนิสก็ไม่ได้วิ่งเยอะ วิ่งแค่ 5-6 ก้าว แต่ 5-6 ก้าวต้องไปให้เร็ว ให้ถึง ซึ่ง 5-6 ก้าวก็ไม่ได้ล้มง่ายๆ แต่หากไปกลัวมันมากมันจะล้ม

“การวางเท้า การเดิน การดำรงวิถีชีวิตจะยืนอยู่บนเซ็นเตอร์ของมันจริงๆ ดังนั้น การล้มนี่ยาก หลายคนก็ห่วงว่าระวังเข่านะ ระวังล้ม เราก็ไม่อยากประมาท ก็บอกว่าระวังไว้ แต่ว่ามันล้มยากมาก”

จังหวะนี้ พล.ต.อ.วุฒิรีบเสริม ผมว่าเวลาเราเล่นกีฬามากๆ จะเกิดสัญชาตญาณเอง การที่เราไม่ล้มจะรู้สึกได้ด้วยตัวเองว่าเราไม่มีคำว่าล้มแน่นอน อีกอย่างคือผมเล่นเทนนิสกับท่านสนธิมาวันนี้จวนจะเลข 8 อยู่แล้ว ไม่เคยเห็นท่านล้มเลย ทั้งที่บางลูกท่านเอื้อมจนสุดแล้วก็ไม่ล้มเลย ขณะที่บางคนจวนจะ 60 อยู่แล้ว กลับมีข่าวว่าคนล้มในห้องน้ำ

พล.ต.อ.วุฒิ ลิปตพัลลภ

“การเล่นเทนนิสคนอาจคิดว่าจะทำให้ข้อเข่าเสื่อม แต่ผมก็เห็นท่านสนธิแข็งแรง ผมไปหาหมอกระดูกมา เอกซเรย์แล้วเข่าไม่เป็นอะไร หมอบอกว่าเราเล่นจนกล้ามเนื้อมันไปห่อเข่าทั้งหมด อยู่ตัวจนเข่าไม่กระเทือนแล้ว ผมคิดว่านี่เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ร่างกายแข็งแรงได้ตลอด”

ขณะที่ พล.อ.สนธิกล่าวเสริมเรื่อง “มวลกระดูก” ด้วยว่า ผมก็ไปวัดมวลกระดูกมา ปีที่แล้วกับปีนี้ พบว่ามวลกระดูกปีนี้แข็งกว่าปีที่แล้ว ไม่รู้หมอหลอกผมไหม แต่ก็ไม่รู้ว่าหลอกทำไม ตัวเลขมันโชว์อยู่ (หัวเราะ) ดังนั้น เชื่อว่าการเล่นกีฬามีส่วนเสริมให้กระดูกแข็งแรง

ถามว่าเล่นกีฬามานาน มีปรัชญาการใช้ชีวิตอย่างไร พล.อ.สนธิรีบตอบ “เราก็ไม่ใช่นักปรัชญาด้วย” แล้วหัวเราะ

พล.อ.สนธิอธิบายว่า คิดว่าการออกกำลังกายเป็นยาวิเศษจริงๆ เหมือนที่เขาพูดกัน ที่สำคัญคืออารมณ์ดี ไม่ใช่ว่าเราแพ้ที่นี่แต่กลับไปแล้วนั่งคิดว่าแพ้ ไม่ แพ้ชนะแล้วเลิกกันไป ทำให้เรารู้แพ้ รู้ชนะ แล้วเราก็มีความสุข

และเป็น พล.ต.อ.วุฒินี่เองที่มองว่า การเล่นกีฬาสร้างความเป็นสุภาพบุรุษในสนาม

“นอกจากกีฬาทำให้รู้แพ้ รู้ชนะแล้ว ยังทำให้รู้สึกมีความเป็นสุภาพบุรุษ ไม่เคยจะมาโทษกันเอง เช่น ผมแพ้ ก็ไม่ได้โทษท่านสนธิ ท่านก็ไม่โทษผม ฝั่งตรงข้ามด้วย สังเกตไหมว่าเทนนิสเป็นกีฬาที่เลิกแล้วจะไปยืนที่เน็ต กอดกัน จับมือกัน หลังจากเล่นเกมแล้วส่วนใหญ่มีเวลาก็จะไปต่อทั้งนั้น หาเรื่องทานกัน ผมกับท่านสนธิทานเสร็จก็ไปร้องเพลง (หัวเราะ) จึงเป็นสิ่งที่สร้างความเป็นสุภาพบุรุษในสนาม”

อย่างไรก็ดี ข้อจำกัดของแต่ละคนทำให้การออกกำลังกาย “อย่างจริงจัง” และ “นานพอ” จนส่งผลดีกับสุขภาพเป็นเรื่องยาก แถมยังสร้างความเหน็ดเหนื่อยให้ชีวิตมากกว่าเดิม เหตุนี้ พล.อ.สนธิจึงมองว่า ถึงเวลาแล้วหรือยังที่การออกกำลังกายจะกลายเป็น “วาระแห่งชาติ” ?

พล.อ.สนธิระบุว่า เรื่องการออกกำลังกายต้องให้ครอบครัว โรงเรียน เป็นส่วนชักนำ พ่อแม่บางคนก็พาลูกไปเล่นกีฬา ออกกำลังกาย เตะบอล ตีเทนนิส บางคนก็เป็นโรงเรียนที่แนะนำเรื่องนี้

“ฝากไปบอกรัฐบาลว่าการออกกำลังกายควรเป็นวาระแห่งชาติ เล่นกีฬาให้สนุก ร่างกายแข็งแรง แล้วไม่ต้องมีโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรคก็ได้ เพราะเราจะไม่เป็นอะไร ดังนั้น อย่างที่ผมมองคือสังคมต้องเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้อง เริ่มจากที่มีอยู่ก็ไปได้ จากโรงเรียน ผู้ปกครองต้องพาไป มันไปได้”

ขณะที่ พล.ต.อ.วุฒิพยายามชี้ให้เห็นมุมมองที่รัฐไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการดูแล “คนวัยเกษียณ” หากหันมาดูแลสุขภาพ ออกกำลังกาย หมดห่วงเรื่องการล้มป่วยได้เลย

“ผมเป็นอดีตผู้บัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด มีข้อสังเกตคือไม่เคยจับกุมนักกีฬาที่ติดยาเสพติดเลย แค่โด๊ปยาเฉยๆ เพื่อหวังผลชนะ ในชีวิตเห็นอยู่ 2 กลุ่มที่ไม่เกี่ยวข้องกับยาเสพติดคือ 1.คนเล่นดนตรีไทย และ 2.นักกีฬา จึงมาเชื่อมโยงท่านสนธิว่าควรเป็นวาระแห่งชาติได้แล้ว เรามีโอท็อปแล้ว มี 30 บาทรักษาทุกโรค แต่ถ้าเราเน้นเรื่องนี้ ซึ่งไม่ใช่กายภาพอย่างเดียว เพราะช่วยเรื่องปัญหาสังคมอื่นๆ ด้วย เช่น ปัญหายาเสพติด

ท่านสนธิกับผมเป็นอดีตข้าราชการ สังเกตว่าข้าราชการเกษียณมักป่วย รัฐต้องเสียงบประมาณในการดูแลคนป่วยที่เป็นอดีตข้าราชการจำนวนมาก แต่ท่านสนธิกับผมหลังเกษียณไม่ได้เบิกยาเลย (หัวเราะ) ไม่ได้ใช้งบประมาณในการเบิกรักษาเลย เป็นการประหยัดงบให้ราชการ ถือว่ารัฐได้ประโยชน์จากคนเกษียณ ถ้าเราส่งเสริมจริงๆ นอกจากจะเป็นการประหยัดงบประเทศแล้ว ยังเป็นการทำให้คุณภาพชีวิตของคนเกษียณดีขึ้นด้วย ส่งผลดีต่อทุกๆ ด้าน”

สะท้อนตัวตนคนวัยเกษียณอย่างมีคุณภาพ

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image