ที่มา | มติชนรายวันหน้า 23 |
---|---|
เผยแพร่ |
ไม่ค่อยได้เห็นหน้าค่าตาของสาวคนนี้มากนัก สำหรับลูกสาวคนเก่งของ พงศ์เทพ เทพกาญจนา อดีตรองนายกรัฐมนตรี และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ อย่าง “แพนเค้ก” ญาภา เทพกาญจนา ด้วยบินลัดฟ้าไปศึกษาต่อและทำงานอยู่ต่างประเทศร่วม 10 ปี ในบทบาทนักกฎหมายมือเฉียบแห่งเพอร์นอต ริคาร์ด เอเชีย ฮ่องกง ทั้งยังพ่วงการเป็นทนายประจำรัฐนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา และสอบได้เนติบัณฑิตอังกฤษ และทนายความของประเทศอังกฤษและเวลส์ได้หมาดๆ เรียกว่าเก่งในระดับสากลก็ว่าได้
พอดิบพอดีกับเป็นช่วงเวลาที่เจ้าตัวกลับมาประเทศไทย เพื่อรอเดินทางไปทำงานในตำแหน่งใหม่ที่กรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยียม จึงขอเวลามาทำความรู้จักนักกฎหมายคนเก่งที่โปรไฟล์ไม่ธรรมดาคนนี้
ญาภา เป็นบุตรสาวคนโตในบรรดาพี่น้องทั้ง 4 คน ที่มีชื่อเล่นน่ารักๆ เรียงกันว่า แพนเค้ก-พินบอล-พัตเตอร์ และพาสเวิร์ด โดยเส้นทางนักกฎหมายของสาวคนนี้เริ่มต้นขึ้นจากการได้เห็นคุณพ่อและคุณแม่เรียนนิติศาสตร์ จึงพัฒนาเป็นความชอบในที่สุด
“จำได้ตอน ป.6 สมัยเรียนที่สาธิต จุฬาฯ สมัยที่คุณพ่อเป็น ส.ส.ร.ร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ คุณครูสั่งให้ทำโครงงานเรื่องอะไรก็ได้ แพนเค้กก็เลือกเอามาตราต่างๆ ในรัฐธรรมนูญมาวาดรูปประกอบให้เพื่อนๆ เข้าใจกฎหมายมากขึ้น นั่นเป็นครั้งแรกที่รู้สึกว่าชอบกฎหมายมาก ก่อนที่โตขึ้น เราชอบเรียนภาษา ประวัติศาสตร์ ซึ่งทั้งหมดรวมอยู่ในความเป็นกฎหมาย เพราะวิชานี้ไม่ใช่แค่ท่องจำ มันคือการนำเอาข้อมูลที่มีมาวิเคราะห์ว่าจะตีความอย่างไร โต้แย้งอย่างไร ปรับใช้ได้หลายอย่าง”
“นี่คือเสน่ห์ที่สนุกและคิดว่าเลือกทางถูก”
และเมื่อรู้ตัวว่าชื่นชอบมาก ก็ถึงเวลาเดินตามฝัน โดยเลือกไปศึกษาต่อระดับปริญญาตรีด้านกฎหมายที่ ม.แมนเชสเตอร์ ก่อนจะเรียนปริญญาโทด้านกฎหมายสหภาพยุโรปที่ ม.คอลเลจ ลอนดอน พร้อมยังได้รับประกาศนียบัตรด้านวิชาชีพทางกฎหมายจากบีพีพี ยูนิเวอร์ซิตี้ 2 ใบ ซึ่งเธอเองได้รับมาพร้อมๆ กับการทำงานที่เพอร์นอต ริคาร์ด เอเชีย ฮ่องกง ที่ใช้เวลาเพียงแค่ 3 ปี ก็สามารถขึ้นตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายกฎหมายได้แล้ว ซึ่งความสำเร็จนี้มาจากความพยายามล้วนๆ
“การทำงานที่ฮ่องกง คนที่นี่ต้องทำงานอย่างมีประสิทธิภาพทุกๆ อย่าง ทุ่มเท ละเอียด และเร็ว ซึ่งเขาให้เรารับผิดชอบเอง ทำเองในหลายๆ อย่าง บางครั้งก็เหนื่อยมาก ทำงานเลิกหลังตี 2 ทุกวัน ยิ่งช่วงนั้นอยากท้าทายตัวเองด้วยการสอบเนติบัณฑิตที่นิวยอร์กและอังกฤษด้วย ต้องอ่านหนังสือทุกวันวันละ 12 ชม.ไม่หยุด แต่โชคดีที่เราได้รับผิดชอบอะไรเยอะ ทำให้เราเจออะไรมากและโตขึ้น เมื่อต้องศึกษา ค้นคว้าใหม่ตลอด มันก็ท้าทายและสนุกที่ได้ทำ”
“ส่วนตัวเป็นคนที่อยากทำอะไรที่มีผลกระทบด้านบวกกับสังคม อยากเห็นสังคมดีขึ้น อย่างตอนที่เขียนนโยบายการต่อต้านการติดสินบนในประเทศต่างๆ เราก็มองว่ายาก จะทำได้ไหม แต่เราคิดว่าเรื่องนี้สำคัญ ทำให้ประเทศไม่พัฒนาจากเงินที่เข้ากระเป๋าคนไม่กี่คน สุดท้ายก็ทุ่มเทกับมันแล้วออกมาเป็นนโยบายในแต่ละประเทศได้ใช้ นี่คือความสุขของการทำงานด้านกฎหมาย”
ความมุ่งมั่น มุมานะนี่เอง ที่เจ้าตัวบอกว่าได้มาเต็มๆ จากคุณพ่อคุณแม่
“ตั้งแต่เด็ก คุณพ่อจะสอนเสมอว่าให้ใส่ทัศนคติที่ดีลงไปในงานที่ทำ หรือหากเป็นคุณแม่ก็จะสอนให้ทำจนกว่าจะสำเร็จ ไม่ล้มเลิกกลางทาง ทั้งสองอย่างกลายเป็นสิ่งที่ปรับใช้ตลอดทุกวันว่า ถ้ากฎหมายมาทางนี้ไม่ได้ก็ต้องปรับใหม่ หาทางจนกว่าจะได้ ไม่ท้อ นอกจากนี้เรายังโชคดีที่ได้เกิดในครอบครัวใหญ่ ที่ให้การสนับสนุนลูกหลานผู้หญิงทุกคนในบ้าน อย่างคุณยาย (จรรย์สมร วัธนเวคิน) อายุ 88 แล้ว แต่ยังฟิตและทำงานอยู่ ทำให้กลายเป็นเวิร์กกิ้งวูแมนไปด้วย แต่หลังๆ ทุกคนเริ่มเป็นห่วงสุขภาพ เพราะทำงานหนักแทบไม่มีเวลานอน (หัวเราะ)”
ส่วนอนาคตทางการเมืองจะเดินตามรอยคุณพ่อหรือไม่ เรื่องที่หลายคนถามถึงนั้น ก็ขอให้เป็นเรื่องอนาคตไปก่อน
“ส่วนตัวมองว่าอายุ 28 ปี ยังน้อยอยู่ อยากหาประสบการณ์ไปเรื่อยๆ วันหนึ่งอาจจะกลับมาทำงานกับที่บ้านในส่วนของกฎหมาย หรือว่าทำงานองค์กรระหว่างประเทศ ไม่อยากบอกว่าไม่สนใจการเมือง แต่วันหนึ่งมาทำ มันไม่ดี”
เรียกได้ว่าเป็นคลื่นลูกใหม่วงการนักกฎหมายที่น่าจับตามองอีกคน