| ที่มา | เจเนอเรชั่น แซ่ด |
|---|---|
| ผู้เขียน | น.ส.ประชาชื่น [email protected] |
ย้อนอ่าน ‘ปลาวาฬ’ ไฮโซเจ้าของศรีพันวา กับความภูมิใจที่นำแบรนด์ท้องถิ่นสู้ตปท.ได้
หลังจากที่แฮชแท็ก #แบนศรีพันวา ได้ขึ้นอันดับเทรนทวิตเตอร์ เพราะชาวเน็ตต่างไม่พอใจที่ “ปลาวาฬ-วรสิทธิ์ อิสสระ” ไฮโซหนุ่มเจ้าของรีสอร์ตศรีพันวา ได้โพสต์ด่า “รุ้ง ปนัสยา” ขณะปราศัยบนเวทีที่ท้องสนามหลวง เมื่อวันที่ 19 ก.ย.ที่ผ่านมา
มาย้อนอ่านบทสัมภาษณ์ของ “ปลาวาฬ อิสระ” ไฮโซหมื่นล้าน ที่พิสูจน์ฝีมือจากผลงานชิ้นโบแดง “ศรีพันวา” อาณาจักรโรงแรมและบ้านพักตากอากาศ มูลค่า 6 พันล้าน จนเป็นที่รู้จักในฐานะผู้บริหารหนุ่มรุ่นใหม่วิสัยทัศน์เฉียบคนหนึ่งของเมืองไทย
สำหรับ “ปลาวาฬ-วรสิทธิ์ อิสสระ” ทายาทคนโตตระกูลดังของ “สงกรานต์-ศรีวรา อิสสระ” ผู้เป็นเจ้าของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ชื่อดัง โดยครอบครัวนี้จะประกอบธุรกิจอสังหาริมทรัพย์มาตั้งแต่รุ่นปู่ “ชาญ อิสสระ” จวบจนมาถึงรุ่นหลาน
ปลาวาฬ จากเมืองไทยไปเรียนต่อในโรงเรียนประจำที่ประเทศอังกฤษตั้งแต่ 10 ขวบ และไปเรียนต่อที่อเมริกา ก่อนที่จะตัดสินใจเลือกเรียนด้านการโรงแรม ในสวิตเซอร์แลนด์ เนื่องจากความชอบในวัยเด็ก ที่ได้รับการบ่มเพาะจากการเดินทาง ท่องเที่ยว และความชอบส่วนตัวเรื่องการตกแต่งออกแบบ
ในชีวิตวัยทำงานของเขานั้นเริ่มจากการเป็นพนักงานล้างจาน เสิร์ฟอาหาร ในร้านอาหารไทย ไปจนถึงการเป็นบาร์เทนเดอร์ ในผับหรูของประเทศอิตาลี ที่ต้องผ่านกระบวนการฝึกฝนเป็นอย่างมาก
ที่สำคัญ เขามีความโชคดี ที่ตระกูลอิสสระเคยถือหุ้นโฟร์ซีซั่น หรือรีเจ้นท์ ราชดำริ ปลาวาฬจึงสามารถเชื่อมต่อความชอบเหล่านี้เข้ากับธุรกิจในอนาคตของครอบครัวได้ ทั้งยังมีจุดหักเหที่สำคัญเมื่อพ่อ หรือ สงกรานต์ อิสสระ ได้ตัดสินใจครั้งใหญ่ ที่จะทำโครงการบ้านพักตากอากาศ ที่ภูเก็ตเป็นครั้งแรก และมีแผนที่จะพัฒนาให้เป็นโรงแรม ด้วยความเชื่อที่ว่าธุรกิจสามารถเกื้อกูลกันได้
กว่า 10 ปีที่ศรีพันวาตั้งตระหง่านอยู่บนแหลมพันวา ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของเกาะภูเก็ต ที่นี่กลายเป็นจุดหมายปลายทางในฝันของนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก ทั้งยังได้รับการคัดเลือกให้เป็น 1 ใน 5 รีสอร์ตชั้นนำของประเทศไทย และยังได้รับการคัดเลือกให้เป็นโรงแรมที่มีเสน่ห์ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก นอกจากนี้ยังมีโอกาสต้อนรับบุคคลที่มีชื่อเสียงของโลก อาทิ เคนนี่ จี, กอร์ดอน แรมซีย์ เชฟชื่อดัง รวมไปถึงโรเบิร์ต เฮช เบิร์น เป็นต้น
ความสำเร็จทั้งหมดนี้ ปลาวาฬบอกสั้นๆ ว่า “ภูมิใจที่แบรนด์ท้องถิ่นสามารถสู้กับแบรนด์ต่างประเทศได้”
หลังจากนี้ เขาก็มีโปรเจ็กต์ที่ทำโรงแรมเพิ่มเติมอีก ซึ่ง “เดอะ ฮาบิต้า” คือ หนึ่งในนั้น
“ตอนนี้ตลาดใหญ่มากขึ้น มีแขกมาเยอะขึ้น ทั้งงานอีเวนต์จากผลิตภัณฑ์ และจากบริษัทต่างๆ รวมถึงงานแต่งงาน ลูกค้ากลุ่มนี้อยากพักอยู่ใกล้ๆ กัน จึงเปิดเฟสใหม่ เดอะ ฮาบิต้า ขึ้นมาเพื่อรองรับ ซึ่งอยู่ในบริเวณศรีพันวา มีทั้งหมด 30 ห้อง รวมทั้งร้านอาหารใหม่อีก 2 ร้าน คือ ห้องอาหารจีนบาบา ชิโน่ และร้านอาหารปิ้งย่างบาบา ฮอต บ๊อกซ์”
หัวใจของการบริการก็ยังคงคอนเซ็ปต์เดิม คือ “บริการด้วยความจริงใจ”
นอกจากศรีพันวา-เดอะ ฮาบิต้า ปลาวาฬยังเดินหน้าโครงการบ้านพักตากอากาศ และโรงแรมสุดหรูติดชายหาด ในชื่อ “บาบา บีช คลับภูเก็ต” ด้วยงบประมาณ 3,020 ล้านบาท บนพื้นที่ 42 ไร่ จะเป็นโรงแรมที่มีเอกลักษณ์ของภูเก็ตในสไตล์ชิโนโปรตุกีส และสีสันสดใสของสไตล์ช่างไฮ-แทง กลายเป็นสไตล์ของบาบา บีช คลับ
โดยดำเนินโครงการไปพร้อมๆ กับ “บาบา บีช คลับ หัวหิน” ที่สร้างขึ้นในสไตล์โมเดิร์น โคโลเนียลมูลค่าโครงการประมาณ 1,700 ล้านบาท พื้นที่ 12 ไร่
ผู้บริหารหนุ่มคนนี้เรียกว่าเติบโตมากับธุรกิจโรงแรม เขาบุกเบิกศรีพันวาตั้งแต่อายุ 20 ต้นๆ นำทัพเองทุกเรื่อง ทั้งฝ่ายขาย ต้อนรับลูกค้า การบริการต่างๆ มาวันนี้ ปลาวาฬในวัย 36 ปี จึงมองธุรกิจโรงแรมไทยในปัจจุบันว่า
“โรงแรมไทยที่ไม่ได้เป็นสาขาของโรงแรมดังๆ สามารถทำได้ง่ายขึ้นเยอะ เพราะปัจจุบันมีโซเชียลมีเดีย เมื่อก่อนโรงแรมมักจะเป็นโรงแรมเชน แต่ตอนนี้มีบุ๊กกิ้งออนไลน์ และระบบการจองต่างๆ ดีขึ้น จึงทำให้แบรนด์ไทยที่บริหารดีๆ สามารถสู้กับแบรนด์นอกได้”
“รวมถึงรายได้อันดับ 2 ของประเทศไทยก็มาจากธุรกิจท่องเที่ยว แล้วแต่ว่าช่วงไหน ประเทศไหนจะมา คนไทยกับคนจีนจะเที่ยวกันทั้งปี ส่วนโซนยุโรปกับอเมริกาจะมาเที่ยวตอนช่วงหน้าหนาวของเขา เน้นเซอร์วิสที่ดีครับ ที่สำคัญคือความสุขของลูกค้าและความสุขของพนักงาน ต้องมีเท่าๆ กัน ถึงจะได้เซอร์วิสจากใจ 100%”
ทุกวันนี้ ศรีพันวาคือบ้านหลังที่ 2 ของปลาวาฬ
“ผมชอบมีชีวิตอยู่ในโรงแรม ซึ่งมันดีมาก เพราะเราได้แชร์ประสบการณ์ของเราในการทำงานกับทีมงาน เอ็นจอยมาก ใช้ชีวิตในที่สบาย กินอาหารที่อร่อย ไปตรวจงานที่ดีๆ และได้อยู่กับทีมงาน”
ส่วนจะมีความฝันที่จะต่อยอดธุรกิจโรงแรมและรีสอร์ตอะไรอีกไหม
ปลาวาฬบอกสั้นๆ ว่า…
“ยังไม่บอกครับ”
