‘ดีเอ็นเอ’ ไขปริศนา ให้ ‘ชาร์ลส์ ดาร์วิน’

ภาพ-ORGE BLANCO /AMERICAN MUSEUM OF NATURAL HISTORY

แม้แต่นักชีววิทยาเรืองนามอย่าง ชาร์ลส์ ดาร์วิน ที่ได้ชื่อว่าเป็น “บิดาแห่งวิวัฒนาการ” ถึงกับงงเมื่อได้เห็นฟอสซิลสัตว์ชนิดหนึ่งที่พบในพาทาโกเนีย ตอนใต้ของประเทศชิลี ดาร์วินจัดส่งฟอสซิลโครงกระดูกดังกล่าวให้กับเพื่อนสนิทที่เป็นนักบรรพชีวินวิทยาผู้โด่งดังอย่าง ริชาร์ด โอเวน ซึ่งไม่มีคำอธิบายเช่นกัน เป็นที่มาให้ดาร์วินเรียกขานฟอสซิลดังกล่าวว่าคือ “สัตว์ที่แปลกประหลาดที่สุดเท่าที่มีการค้นพบกันมา”

มิเชล โฮฟรีทเทอร์ นักวิจัยอาวุโส ซึ่งทำหน้าที่เป็นศาสตราจารย์ประจำมหาวิทยาลัยพอร์ทสดัม ประเทศเยอรมนี ผู้เขียนรายงานผลการศึกษาใหม่ที่ช่วยไขปริศนาให้ดาร์วินจนกระจ่างชัดเผยแพร่ในวารสาร เนเจอร์ คอมมูนิเกชั่น เมื่อปลายเดือนที่ผ่านมา ระบุว่า สัตว์ที่ว่านั้นถูกตั้งชื่อวิทยาศาสตร์ว่า “มาครอเชเนีย พาตาโชนิกา” (Macrauchenia patachonica) ซึ่งตามตัวอักษรแปลว่า “ตัวลามะคอยาว” เพียงแต่มีงวงยาวคล้ายยางแข็ง และมีโพรงจมูกอยู่เลยเหนือลูกตาขึ้นไป น้ำหนักตัวราว 400-500 กิโลกรัม อาศัยอยู่ในพื้นที่โล่ง และกินหญ้ากับใบไม้เป็นอาหาร ลักษณะที่ว่านี้เองที่ทำให้นักชีววิทยาและนักอนุกรมวิธาน งุนงงและถกเถียงกันมาตลอด 2 ศตวรรษว่ามันควรจัดอยู่ในสัตว์จำพวกใด

ศาสตราจารย์โฮฟรีทเทอร์กับทีมวิจัยทางพันธุกรรมถึง 20 คน อาศัยไมโตครอนเดียดีเอ็นเอจากซากฟอสซิล ซึ่งเป็นดีเอ็นเอที่ถ่ายทอดเฉพาะจากทางแม่ มีขนาดเล็กกว่าและมีสำเนาอยู่มากในเซลล์ทำให้พบมากในฟอสซิลตามไปด้วย เหมาะกับการเทียบเคียงหาความเชื่อมโยงด้านสายพันธุ์กว่า ดีเอ็นเอจากนิวเคลียร์จีโนมซึ่งซับซ้อนกว่า ทีมวิจัยใช้เวลานานกว่าจะปะติดปะต่อจีโนมของ เอ็ม. พาตาโชนิกา ได้ 80 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งมากพอที่จะระบุได้ว่า มันมีวิวัฒนาการร่วมกับสัตว์กีบคี่ สมัยใหม่ แต่แยกสายวิวัฒนาการออกมาเมื่อ 66 ล้านปีก่อนในยุคใกล้เคียงกับการสูญพันธุ์ของไดโนเสาร์ อยู่รอดมาได้จนถึงช่วงปลายยุค ไพลสโตซีน หรือราว 20,000-11,000 ปีที่ผ่านมา

ก่อนสูญพันธุ์ไปโดยไม่รู้สาเหตุว่าเป็นเพราะเหตุใด

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image