เอ็กซ์คลูซีฟ! เตรียมยล 12 เรือนเวลาแห่งห้วงอวกาศ “โอเมก้า”

เรื่องของเรือนเวลา เป็นเรื่องที่ใครหลายคนหลงใหลไม่น้อย ทิพาณัท เลณบุรี กรรมการผู้จัดการ บริษัท เดอะ สวอท์ช กรุ๊ป เทรดดิ้ง (ประเทศไทย) และผจก.ผลิตภัณฑ์ โอเมก้า (OMEGA) สุดยอดแบรนด์นาฬิกาหรูระดับโลกสัญชาติสวิส จึงเตรียมจัดงาน “SPEEDMASTER 60 th ANNIVERSARY” ในรูปแบบเอ็กซิบิชั่นสุดพิเศษ พาย้อนไปสู่ความท้าทายแห่งห้วงอวกาศ ฉลองครบรอบ 60 ปี แห่งการเดินทางของนาฬิกาโครโนกราฟเลื่องชื่อของโลกอย่าง สปีดมาสเตอร์ พร้อมดื่มด่ำ 12 เรือนเวลาประวัติศาสตร์ ที่ส่งตรงจากพิพิธภัณฑ์โอเมก้า ณ ชั้นจี ศูนย์การค้าเซ็นทรัล เอ็มบาสซี ในวันที่ 25-29 สิงหาคมนี้

โดยงานนี้เหล่าแฟนพันธุ์แท้เรือนเวลาแห่งอวกาศจะได้พบกับเรือนเอ็กซ์คลูซีฟมากมาย อาทิ

1. SPEEDMASTER 1st GENERATION – CK 2915, 1957
จุดกำเนิดตำนานของตระกูล Speedmaster โดยชื่อ “Broad Arrow” นั้นได้มาจากรูปทรงของเข็มนาฬิกาที่โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ จักรกลเวลาเรือนนี้นอกจากจะเป็นหน้าแรกของเรื่องราวแห่ง Speedmaster แล้วก็ยังเป็นนาฬิกาข้อมือโครโนกราฟแบบแรกที่นำสเกลทาคีมิเตอร์มาไว้บนขอบตัวเรือนแทนที่จะเป็นบริเวณหน้าปัด – การออกแบบอันโดดเด่นนี้เอื้อการใช้งานให้กับเหล่านักแข่งรถเป็นอย่างมาก คาดว่าเรือนเวลารุ่นนี้น่าจะมีมูลค่าสูงที่สุดในตระกูล Speedmaster จากบทบาทการเป็นผู้เริ่มต้นการเดินทางที่แสนพิเศษของคอลเลคชั่น

Advertisement

2. SPEEDMASTER 2nd GENERATION (First OMEGA in space) CK 2998, 1959
เรือนเวลารูปแบบที่สองของ Speedmaster ที่สร้างตัวตนที่แตกต่างจากต้นฉบับอย่าง “บรอดแอร์โรว์” (Broad Arrow) ด้วยขอบตัวเรือนอะลูมิเนียมสีดำ เข็มวินาทีทรงโลลลิป็อปที่ปรับตามความต้องการของกองทัพอากาศ และเข็มชั่วโมงกับเข็มนาทีทรง “แอลฟ่า” (Alpha) เรือนเวลานี้นับเป็นนาฬิการุ่นแรกของแบรนด์ OMEGA ที่เคยถูกใช้งานบนอวกาศ หลังจากที่ Walter Schirra ได้สวมใส่นาฬิกา Speedmaster ส่วนตัวร่วมในภารกิจบนยาน Sigma 7 ของโครงการ Mercury ในวันที่ 3 ตุลาคมปี 1952 จึงนับว่าเป็นการรูดม่านเปิดฉากการผจญภัยในอวกาศครั้งแรกของ Speedmaster

3. SPEEDMASTER 3rd GENERATION (Tested by NASA) ST 105.003, 1963
Speedmaster รุ่นนี้คือนาฬิกาแบบแรกที่ผ่านการทดสอบสุดเข้มงวดสำหรับคุณสมบัติด้านการบินจากองค์การ NASA มีหลายแบรนด์ที่ได้ร่วมส่งเรือนเวลาของตนเข้ารับการทดสอบในครั้งนี้ แต่ Speedmaster คือเรือนเวลาหนึ่งเดียวที่สามารถผ่านการทดสอบและได้ร่วมเขียนหน้าประวัติศาสตร์ไปกับภารกิจของ ยาน Gemini และยาน Apollo มอบทั้งความเที่ยงตรงและน่าเชื่อถือสูงสุดให้แก่เหล่านักบินอวกาศ ยิ่งไปกว่านั้น นอกจากจะเป็นเรือนเวลารุ่นแรกที่ได้สวมใส่บนดวงจันทร์แล้วก็ยังได้ร่วมเป็นหนึ่งในเรือนเวลา ชุดสุดท้ายที่ถูกสวมใส่บนดวงจันทร์ในปี 1972 อีกเช่นกัน

Advertisement

4. SPEEDMASTER 4th GENERATION (First Moonwatch) ST 105.012, 1965
ปี 1969 เมื่อ Neil Armstrong และ Buzz Aldrin เหยียบลงบนผิวของดวงจันทร์ Speedmaster จึงได้เป็นนาฬิกาแบบแรกที่ถูกสวมใส่บนดวงจันทร์ นับตั้งแต่วันนั้น Speedmaster จึงได้รับใช้ในเกือบทุกภารกิจที่เกี่ยวข้องกับดวงจันทร์มาโดยตลอด ในด้านการดีไซน์ของ Moonwatch นั้นนับเป็น Speedmaster รุ่น แรกที่ถูกออกแบบด้วยตัวเรือนทรงอสมมาตรเพื่อเพิ่มสมบัติการป้องกันมากยิ่งขึ้นให้กับทั้งเม็ดมะยม และปุ่มกด และยังเป็นครั้งแรกที่ข้อความ “Professional” ได้ปรากฏที่บนหน้าปัด

5. SPEEDMASTER MOONWATCH (First Cal. 861 model) ST 145.022 “861”, 1968
เปิดตัวในปี 1968 พร้อมกับกลไกรุ่นใหม่อย่าง คาลิเบอร์ 861 นับเป็นเรือนเวลาที่สร้างจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่กับประวัติศาสตร์ของ Speedmaster เพราะไม่เพียงแต่นวัตกรรมในกลไกรุ่นใหม่ที่ถูกบรรจุเข้ามา ข้อความอันโด่งดังว่า “FLIGHT-QUALIFIED BY NASA FOR ALL MANNED SPACE MISSIONS” และ “THE FIRST WATCH WORN ON THE MOON” ยังได้ถูกสลักลงบนฝาหลังนับตั้งแต่ในปี 1970 เป็นต้นมา

6. SPEEDMASTER “APOLLO 11 EDITION of 1969″ BA 145.022 “18K”, 1969
นับเป็น Speedmaster รุ่นแรกที่ทำจากทอง 18K และใช้ขอบตัวเรือนสีเบอร์กันดี แต่ละเรือนได้รับการสลักหมายเลขประจำเครื่อง โดย 19 หมายเลขแรกนั้นถูกมอบให้กับเหล่านักบินอวกาศทั้ง 19 นายที่งานกาล่าดินเนอร์ในฮูสตัน รัฐเท็กซัส ณ วันที่ 25 พฤศจิกายน ปี 1969 เนื่องในโอกาสเฉลิมฉลองหลังยาน Apollo 11 สามารถลงจอดบนดวงจันทร์ได้สำเร็จ นอกจากนี้ยังได้มอบอุทิศย้อนหลังให้แก่ Virgil Grissom, Ed White และ Roger Chaffee ผู้กล้าทั้ง 3 นายแห่งยาน Apollo 1 ซึ่งประสบกับโศกนาฏกรรมอันน่าเศร้าระหว่างการทดสอบ

7. SPEEDMASTER “Mark II” ST 145.014 “MKII”, 1969
มิติตัวเรือนที่เปลี่ยนไปของ Speedmaster Mark II ได้เริ่มส่งสัญญาณครั้งแรกของการเริ่มรีดีไซน์นาฬิกาโครโนกราฟที่ได้รับความนิยมสูงของ OMEGA ได้รับการผลิตในปี 1969 นับเป็นการขยายไลน์ของ Speedmaster ให้กว้างมากยิ่งขึ้นด้วยรูปลักษณ์แบบใหม่ ตัวเรือนมีทั้งทำจากสแตนเลสสตีล, ทอง 18K หรือหุ้มทองให้ได้เลือกสรร พร้อมด้วยหน้าปัดและสเกลเวลาผสมอีกหลากหลายรูปแบบ ทั้งการใช้ตัวเรือนทรงถังเบียร์ของ MARK II และปรับให้สามารถอ่านเวลาสะดวกมากยิ่งขึ้นทำให้ MARK II กลายเป็น Speedmaster รุ่นแรกที่ไม่ได้ติดตั้งด้วยกระจกเฮซาไลท์

8. SPEEDMASTER “Mark III” ST 176.002 “MKIII”, 1971
หลังจากเปิดตัวในปี 1971 เรือนเวลา Speedmaster Mark III พร้อมกับตัวเรือนทรง “ไพล็อต” (Pilot) ได้กลายเป็นนาฬิกาโครโนกราฟแบบแรกของ OMEGA ที่ใช้กลไกอัตโนมัติ คาลิเบอร์ 1040 นับได้ว่าเป็นไมล์สโตนที่สำคัญของแบรนด์ ในโฆษณาช่วงปี 1972 นั้นทาง OMEGA ได้กล่าวอย่างภาคภูมิว่า “หลังจากลงจอดบนดวงจันทร์ถึง 6 ครั้ง มีเพียงสิ่งเดียวที่เราได้สอนให้แก่ Speedmaster นั่นคือการสอนให้เรือนเวลาขึ้นลานเอง”

9. SPEEDMASTER “125” ST 378.0801 “125”, 1973
นาฬิการุ่นนี้เป็นเรือนเวลาโครโนกราฟที่ใช้กลไกอัตโนมัติรุ่นแรกของโลกที่ได้รับการรับรองความเที่ยงตรงระดับโครโนมิเตอร์ ได้รับการผลิตเนื่องในโอกาสฉลองการก่อตั้งครบ 125 ปีของแบรนด์ OMEGA (เริ่มก่อตั้งปี 1848) ด้วยจำนวนการผลิต 2,000 เรือน Speedmaster 125 นี้ยังอาจหาญผจญสู่ห้วงอวกาศร่วมไปกับ Vladimir Dzhanibekov ในปี 1978 โดยนักบินอวกาศชาวรัสเซียรายนี้ใช้เวลาอยู่ในอวกาศทั้งสิ้นกว่า 145 วันและอีก 16 ชั่วโมง

10. SPEEDMASTER “SPEEDSONIC” ST 388.0800 “lobster”, 1973
ชื่อเล่น “ล็อบสเตอร์” (Lobster) นี้ได้มาจากทรงสายนาฬิกาแปลกตาชวนพาให้คิดถึงเปลือกหางของสัตว์ในไฟลัมครัสเตเชียน Speedsonic ถือกำเนิดขึ้นจากความต้องการเรือนเวลาที่ใช้ระบบไฟฟ้าที่สูงขึ้นทุกขณะในยุคสมัยนั้น ระบบกลไกไฟฟ้าถูกนำมาติดตั้งเพื่อตอบสนองต่อความต้องการทั้งความเที่ยงตรงและความน่าเชื่อถือที่สูงมากยิ่งขึ้น จุดที่น่าสนใจอีกอย่างยิ่งคือขนาดของเม็ดมะยมซึ่งถูกปรับให้เล็กลงเพื่อตอกย้ำว่าผู้ใช้งานจะไม่ต้องปรับวันหรือเวลาบ่อยเหมือนอย่างเช่นเคย

11. SPEEDMASTER “APOLLO-SOYUZ” ST 145.022 “soyuz”, 1975
ในปี 1975 นักบินอวกาศชาวรัสเซียและอเมริกันต่างสวมใส่ Speedmaster ระหว่างการพบกันบน อวกาศ ช่วงเวลาแห่งประวัติศาสตร์ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงจุดเริ่มต้นของจุดจบของสงครามเย็น เรือนเวลารุ่นนี้ถูกผลิตจำนวนจำกัด 500 เรือนเพื่อตอกย้ำมิตรภาพบนอวกาศระหว่างทั้งสองชาติ จักรกลเวลานี้ ยังเป็นจุดเริ่มต้นของตระกูล “แพตช์” (Patch) เรือนเวลานี้ตกแต่งด้วยมิชชันแพตช์ ณ ตำแหน่ง 12 นาฬิกาแทนที่โลโก้ของ OMEGA นอกเหนือจากนี้ยังมีเรื่องของมาร์คเกอร์และปุ่มกดที่ยาวมากกว่า ปกติที่เป็นเอกลักษณ์

12. SPEEDMASTER “X33” TS 186.1998 “x33”, 1998
เป็นที่รู้จักในนาม “Mars Watch” เรือนเวลารุ่น X-33 ถูกออกแบบมาเพื่อรองรับกับความเป็นไปได้ที่มนุษย์จะลงจอดบนดาวอังคารหรือดาวเคราะห์สีแดง (Red Planet) ใช้เวลา 5 ปีในการร่วมมือกันพัฒนาระหว่างแบรนด์ OMEGA กับองค์กรอวกาศระดับโลกต่างๆ รวมถึงฝูงบินผาดแผลง “Blue Angels” จากกองทัพเรือและ “Thunderbirds” ของกองทัพอากาศสหรัฐฯ ด้วยการดีไซน์ที่ล้ำสมัยทำให้นาฬิการุ่นนี้ ถูกใช้งานทั้งบนกระสวยอวกาศของ NASA และบนสถานีอวกาศเมียร์ของรัสเซีย

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image