ความสวยงามของ “สวิตเซอร์แลนด์” เป็นเสน่ห์ที่ดึงดูดให้หลายคนอยากไปเยือนประเทศที่เปรียบดั่งสวรรค์บนดินสักครั้งในชีวิต รวมถึงคนไทยหลายคน เพราะประเทศแห่งนี้เป็นที่พำนักของ “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช” พระมหากษัตริย์อันเป็นที่รักของปวงชนชาวไทย เมื่อครั้งยังทรงพระเยาว์ และราชสกุลมหิดล
ในโอกาสเดินทางไปเยือนสวิสตามคำเชิญของ “การท่องเที่ยวสวิสเซอร์แลนด์” นอกจากได้ชื่นชมความงดงามของทัศนียภาพต่างๆ แล้ว ยังได้เยือน “บ้าน” คนดังระดับโลกที่ต้องมนต์เสน่ห์ของประเทศนี้ อย่าง เจ้าของทฤษฎีสัมพัทธภาพ “อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์” และ “ชาร์ลี แชปลิน” นักแสดงตลกชาวอังกฤษ
เยือน “อพาร์ตเมนต์” ไอน์สไตน์
ในเมืองหลวงอย่าง “กรุงเบิร์น” ที่มีหมีเป็นสัญลักษณ์ประจำเมือง ตามตำนานเล่าว่า ดยุคแบร์ชโทลด์ที่ 5 แห่งราชวงศ์ซาริงเงิน ทรงดำริว่าจะตั้งชื่อเมืองตามสัตว์ที่พบและฆ่าได้สำเร็จเป็นตัวแรก ซึ่งคำว่า “เบิร์น” นั้น มาจากคำว่าแบร์ ในภาษาดัตซ์ ที่แปลว่า หมี
เบิร์นจึงได้รับการขนานนามว่าเป็น “เมืองหมี” ไม่ว่าจะทำอะไรก็มักเอาหมีมาเป็นสัญลักษณ์ไปเสียทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็น ธง รูปปั้นหมีประดับบ่อน้ำพุ ช็อคโกแลต รวมทั้งของฝากที่ระลึก ด้วยอาคารเก่าแก่ด้วยสถาปัตยกรรมยุคกลางของยุโรป ในปี 1983 เบิร์นได้รับคัดเลือกให้เป็น “มรดกโลกทางวัฒนธรรม” จากองค์การยูเนสโก
มาเยือนประเทศที่ได้รับการขนานนามว่าเป็น “ดินแดงแห่งนาฬิกา” ทั้งที พลาดไม่ได้ต้องมาถ่ายรูปคู่กับ “หอนาฬิกาไซท์กล็อคเค่นทาร์ม” อีกหนึ่งสัญลักษณ์สำคัญ เป็นนาฬิกาโบราณมี 2 ด้าน ด้านทิศตะวันตกเป็นนาฬิกาเข็มธรรมดา ขณะที่ด้านทิศตะวันออกเป็นนาฬิกาดาราศาสตร์โบราณสร้างตั้งแต่ปี ค.ศ.1530 โดย 4 นาทีก่อนนาฬิกาจะตีบอกชั่วโมง จะมีตุ๊กตากลซึ่งมีทั้งรูปหมี สิงโต ไก่ อัศวิน และตัวตลกออกมาเคลื่อนไหวทำท่าทางต่างๆ เรียกรอยยิ้มกับผู้ที่ผ่านไปผ่านมาได้เป็นอย่างดี
ถัดจากหอนาฬิกาไม่ไกลนัก ก็ถึง “ไอน์สไตน์เฮ้าส์” อพาร์ตเมนต์เลขที่ 49 ที่พำนักของ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ กับภรรยาและลูก ระหว่างปี 1903-1905 ที่นี่ไอน์สไตน์ได้คิดค้นสิ่งประดิษฐ์และทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์มากมาย ผลงานชิ้นสำคัญที่เขาคิดขึ้นในห้องแถวเล็กๆ หลังนี้ คือ ทฤษฎีสัมพัทธภาพ และทฤษฎีควอนตัมของแสง ซึ่งทำให้ไอน์สไตน์ได้รับรางวัลโนเบล เมื่อปี 1921
ปัจจุบันอพาร์ตเมนต์แห่งนี้จัดทำเป็นพิพิธภัณฑ์ชีวิตความเป็นอยู่ต่างๆ โดยยังคงสภาพเดิมไว้อย่างครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นโต๊ะทำงาน โต๊ะกินข้าว ห้องนั่งเล่น รวมทั้งภาพถ่าย ผลการศึกษา และเอกสารที่เป็นลายมือของเขา เพื่อเป็นอนุสรณ์แด่นักฟิสิกส์ชื่อก้องโลกคนนี้
ชีวิตแสนสุข “ชาร์ลี แชปลิน”
ถ้าใครไปเยือนโลซานอยากให้เดินทางต่อไปยัง “เวเวย์” เมืองแห่งอาหารและไร่องุ่นลาโวกซ์ ความงดงามของที่นี่จะมองทิวทัศน์ของไร่องุ่นที่ปลูกลดหลั่นกันอยู่บนเนินเขา มีแบลคกราวน์เป็นทะเลสาบเจนีวาและเทือกเขาแอลป์ ไร่องุ่นในเขตนี้ได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมขององค์การยูเนสโก ปี 2007
ณ เมืองแห่งนี้ เป็นที่พักในบั้นปลายชีวิต 25 ปีสุดท้ายของ “ชาร์ลี แชปลิน” และ “อูนา” ภรรยาของเขา ทั้งคู่อายุห่างกัน 34 ปี พบรักกันตอนที่ชาร์ลี อายุ 51 ปี ภรรยาอายุ 17 ปี และมีลูกด้วยกัน 8 คน ด้วยพื้นที่กว้างใหญ่มากกว่า 10 เอเคอร์ คล้ายอาณาจักร “คฤหาสน์หรูมานัวร์ เดอ บาน” (Manoir de Ban) วิวหน้าบ้านเห็นเทือกเขาแอลป์ แชปลินใช้ชีวิตกับครอบครัวอย่างแสนสุขก่อนที่จะเสียชีวิตด้วยอายุ 88 ปี ในปี 1977
ปัจจุบัน ครอบครัวของแชปลินได้มอบบ้านหลังนี้ให้กับมูลนิธิพิพิธภัณฑ์แชปลินเพื่อจัดทำเป็น “Chaplin’s World” มิวเซียมที่เล่าเรื่องราวของเขาตั้งแต่วัยเยาว์จนถึงชีวิตบั้นปลาย รวมถึงรวบรวมผลงานภาพยนตร์ต่างๆ ของเขาเอาไว้
ทันทีที่ก้าวเท้าเข้ามาในโลกของแชปลิน นอกจากจะตื่นตาตื่นใจกับเรื่องราวของเขาแล้ว ที่นี่ยัง “เปิดบ้าน” ของชาร์ลีจัดแสดงข้าวของเครื่องใช้ไว้ในสภาพเดิม พร้อมรูปถ่ายกับครอบครัวที่มีอย่างมากมาย
รูปถ่ายต่างๆ ของแชปลินถ่ายทอดถึงความเป็น “คนสนุกสนานร่าเริง” กับชีวิตไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นได้อย่างน่าประทับใจ
ดั่งคำพูดของแชปลินที่ว่า “คุณจะไม่มีวันเห็นรุ้งงาม ถ้าคุณมองแต่ข้างล่าง ไม่เงยหน้าขึ้นมองฟ้าข้างบน”
ตามรอย “เจมส์บอนด์ 007”
นอกจากสวิสจะเป็นประเทศที่คนดังต้องมนต์มาใช้ชีวิตที่นี่แล้ว “ฮอลลีวูด” ยังใช้ “ยอดเขาชิลธอร์น” มีความสูง 2,970 เมตร เป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์ดัง “สายลับเจมส์ บอนด์ 007” ตอน” ยอดพยัคร้ายราชินี นำแสดงโดย “จอร์จ ลาเซนบี” เมื่อปี 1969 โดยกำหนดให้ภัตตาคารหมุนได้ หรือ “พิตส์ กลอเรีย” เป็นรังของเหล่าผู้ร้าย หลังจากนั้นมา ผู้คนก็ต่างรู้จักชิลธอร์นในชื่อ พิตส์ กลอเรีย ตามชื่อภาพยนตร์
ที่นี่ เป็นสถานที่ยอดฮิตของนักท่องเที่ยวมาตามรอยเจมส์บอนด์ชมเบื้องหลังหนังดังเรื่องนี้จำนวนมาก นอกจากเพลิดเพลินกับอาหารธีมเจมส์บอนด์แล้ว ยังได้ชมทิวทัศน์แบบพาโนราม่าได้ทุกด้าน เห็นแนวเทือกเขาแอลป์ยาวทอดเป็นแนวยาว
โดยมุมที่นักท่องเที่ยวทุกคนต้องยกกล้องขึ้นมาถ่ายภาพ คือ การได้เห็นสามยอดเรียงกันอยู่โดยไม่มีอะไรมาบดบัง ได้แก่ ยอดเขาไอเกอร์ (สูง 3970 เมตร) ยอดเขามึนซ์ (สูง 4107 เมตร) และยอดเขาจุงเฟรา (สูง 4158 เมตร) เป็นวิวระดับ 1,000 ล้านที่ใครๆ เห็นก็ต้องร้อง “ว้าว!!”
สวิตเซอร์แลนด์ดินแดนที่เปี่ยมไปด้วยมนต์เสน่ห์