สาวน้อยเทรดเดอร์คริปโทฯ ‘เม-เมทินี’ ไขข้อสงสัยทำไมราคาสะวิงสูง และนักลงทุนต้องมีบาดแผล

สาวน้อยเทรดเดอร์คริปโทฯ ‘เม-เมทินี’ ไขข้อสงสัยทำไมราคาสะวิงสูง และนักลงทุนต้องมีบาดแผล

ฮอตปรอทแตก!!! ตั้งแต่ปีที่แล้ว ข้ามมาปี 2565 ก็ยังเป็นจับตามองมากที่สุด และวินาทีนี้ ไม่มีใครไม่รู้จัก “คริปโทเคอร์เรนซี” (Cryptocurrency) หรือ สินทรัพย์ดิจิทัล ที่ทำงานบนระบบบล็อกเชน มาแรงแซงโค้งติดลมบนแบบเอาอะไรมาฉุด…

ก็…ฉุดไม่อยู่!!

ด้วยเป็นการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนเป็นกำไรนับพันเปอร์เซ็นต์ จึงทำให้หลายคนให้ความสนใจตลาดคริปโทฯ อยากมาขุดทอง หวังสร้างกำไรเป็นกอบเป็นกำ สร้างฐานะให้มั่งคั่งร่ำรวยได้ชนิดที่เรียกว่า “พลิกชีวิต”

แต่การลงทุนทุกชนิดมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจ

Advertisement

ยิ่งตอนนี้ กระทรวงการคลังเข้ามากำหนดให้ผู้มีรายได้จากการเทรดคริปโทฯ เสียภาษี 15% ในปีภาษี 2564 ยิ่งต้องหาความรู้ และศึกษาหาข้อมูลให้ดี ก่อนเอา “เงิน” ไปลงทุน

เพราะไม่เช่นนั้นที่หวังว่าชีวิตจะ “ปัง” อาจเปลี่ยนเป็น “พัง” ได้ชนิดที่เรียกว่า “พินาศ” ไปเลยก็มี

Advertisement

“เม-เมทินี ธิติชัย” อายุ 26 ปี นักลงทุนคริปโทฯ ที่ลาออกจากชีวิตพนักงานเงินเดือนมาเป็น “เทรดเดอร์ฟูลไทม์” ในตลาดคริปโทฯ มาแล้วเกือบ 1 ปี ซึ่งสำหรับเธอถือว่าประสบความสำเร็จในตลาดดังกล่าวพอสมควร

ปัจจุบันเป็นทั้งเทรดเดอร์ และเป็นโค้ชเปิดคลาสสอนเทรดคริปโทฯ ทั้งแบบให้ความรู้ฟรีผ่านเพจเฟซบุ๊กกลุ่มปิด มีสมาชิกเกือบ 500 คน ติ๊กต็อก ที่มีผู้ติดตาม 72.3k ไลน์กรุ๊ป ที่มีคนรุ่นใหม่เข้ามาพูดคุยและเปลี่ยนประสบการณ์การเทรดเกือบ 500 คน รวมทั้งมีคลาสสอนไพรเวต มาถอดบทเรียนตลาดคริปโทฯ

ที่เธอบอกว่า กว่าจะมาถึงวันนี้ “ไม่ได้สวยงาม” และนักรบทุกคนย่อมมีบาดแผล!!

เม เท้าความว่า เธอเป็นพนักงานประจำที่ทำงานหนักจนไม่มีเวลาพักผ่อน ไม่มีเวลาใช้ชีวิต มีเงินเดือนใช้แค่เดือนชนเดือน จึงกลับมารีวิวตัวเองและรู้สึกไม่อยากมีชีวิตแบบนี้ไปตลอด จึงเริ่มศึกษาเรื่องการเงิน ทำความเข้าใจการลงทุนต่างๆ เข้าคอร์สสัมมนาต่างๆ ทำให้มองเห็นทางออกว่า การลงทุนเป็นการสโตร์ ออฟ แวลู (Store of Value) ที่สามารถเก็บรักษามูลค่าของสินทรัพย์ได้

“ตอนทำงานประจำ เงินเดือนขึ้นอย่างมาก 10-20 เปอร์เซ็นต์ เมก็เริ่มเห็นว่าถ้าเป็นแบบนี้อยู่ไม่ได้แล้วนะ เดี๋ยวต่อไปในอนาคตเราจะจนลงเรื่อยๆ ถ้าเรายังไม่เอาเงินที่เรามี ไปทำบางสิ่งบางอย่างเพื่อรักษามูลค่าของมันไว้”

“เมจึงศึกษาการลงทุนทุกรูปแบบ และจากการอ่านหนังสือ การเงินลวงโลก FAKE ของโรเบิร์ต คิโยซากิ มีเรื่องหนึ่งที่เมสนใจในเรื่องคุณสมบัติของเงินในเรื่องของการเป็น พีเพิล มันนี่ (people money)”

ในหนังสือ FAKE แบ่งคุณสมบัติของเงินเป็น 3 ประเภท คือ 1.Government money คือ เงินบาท ดอลลาร์ 2.God money คือ สิ่งที่มีจำนวนจำกัด เช่น ทองคำ ที่ดิน สินแร่ เมื่อมีจำนวนจำกัด ก็ยังคงมูลค่าในตัวไว้ได้ 3.People money คือ เงินที่จะมีมูลค่า ก็ต่อเมื่อมีคนให้คุณค่ากับมัน ไม่มีศูนย์กลางในการควบคุม ซึ่งคริปโทฯ คือ พีเพิล มันนี่

“พอมุมมองเรื่องการเงิน การลงทุนเปลี่ยน ทำให้รู้ว่า การสโตร์ ออฟ แวลู คือ ทางออกของชีวิตเลย” เมย้ำ และว่า “คุณสมบัติของการเงินที่ดี สามารถเป็นหน่วยวัดได้ (unit of account), เก็บรักษามูลค่าของทรัพย์สินได้ (Store of Value) และเป็นตัวกลางในการแลกเปลี่ยน (medium of exchange)”

จากการศึกษาเรื่องการลงทุน ทำให้เธอรู้ว่า “ความรู้เรื่องการลงุทน เรื่องการเงิน การจัดการเงินต่างๆ ไม่เข้าถึงองค์ความรู้ทั่วโดยไปของคนไทย”

“จากที่เมศึกษา สิ่งที่ตกผลึกคือ เงิน คืออะไรก็ได้ ไม่มีคำจำกัดความ แต่เงินตรงนั้น จะต้องมีความน่าเชื่อถือ การที่เงินมีมูลค่า สิ่งของมีมูลค่า คือ การที่คนให้คุณค่ากับมัน และเงินตรงนั้น ต้องเป็นเงินที่เรามีอำนาจในการที่จะเป็นเจ้าของ มีอำนาจในการที่ไม่มีใครมาควบคุมว่า มูลค่ามันต้องเป็นเท่าไหร่ แต่เป็นมูลค่าจากคนที่เห็นมูลค่ามัน และตีความกันเอง”

“สุดท้ายก็มาจบที่เลือกลงทุนในคริปโทฯ ด้วยความเชื่อมั่นในระบบบล็อกเชน (Blockchain) ที่มีความโปร่งใส มีความน่าเชื่อถือ ทุกคนที่อยู่ในระบบนี้สามารถตรวจสอบธุรกรรมที่เกิดขึ้นได้ทั้งหมด และเป็นพีเพิล มันนี่ ซึ่งบิทคอยน์ (Bitcoin) มีคุณสมบัติตอบโจทย์ข้อนี้ และมีการสโตร์ ออฟ แวลู”

“ปัจจุบัน คริปโทฯมีมูลค่าเป็น ‘ทริลเลียน’ (Trillion ล้านล้าน) ถามว่า สักวันหนึ่งจะหมดค่าไปเลยไหม มันคงไม่อยู่ดีๆ ก็หมดค่าไปได้ง่ายๆ เพราะว่ามันก็ยังมีคนที่เชื่อ พอมีคนที่เชื่อ มันเลยยังมีค่า”

“ย้อนมาที่ระบบการเงินปัจจุบันในท้องตลาด ที่มีการผลิตเงินขึ้นเรื่อยๆ รัฐบาลสามารถควบคุมกลไกการเงินต่างๆ ได้ เช่น อัตราการพิมพ์เงิน การกำหนดดอกเบี้ย เมเลยรู้สึกว่า ถ้ามีคนควบคุม เราไปลงทุนในที่ที่มันเป็นความเห็นจากผู้คนดีกว่า อันนี้คือคีย์เวิร์ดสำคัญที่เมยังเชื่ออยู่”

เมื่อมีความเชื่อมั่น เธอจึงเริ่มต้นลงทุน โดยเริ่มทำความเข้าใจตลาดก่อน เทกคอร์สเรียนกับโค้ชผู้เชี่ยวชาญ รวมทั้งการเข้าไปช่วยโค้ชทำคลาสสอนคริปโทฯ จากตรงนี้ทำให้เธอมีประสบการณ์มากขึ้น ได้คุยได้ตอบคำถาม รวมถึงให้คำปรึกษานักลงทุนตั้งแต่เด็กรุ่นใหม่ไปจนถึงผู้ใหญ่กว่า 2 พันคน จึงทำให้เธอพัฒนาตัวเองขึ้นได้อย่างรวดเร็ว

“เมมีโอกาสสอนกับโค้ชด้วย มันก็ค่อยๆ พัฒนาเราไปทีละสเต็ปๆ และพอเป็นเมนทอร์แล้ว ก็มีวิธีการดึงกระบวนการคิดคน หลังจากนั้นก็มีโอกาสสอนเอง ตรงนี้เป็นจุดที่พัฒนาตัวเอง ค่อนข้างไปไว”

ซึ่งทั้งหมดทั้งมวล เมบอกว่า เกิดจากการที่เธอทำงานหนักศึกษาอย่างจริงจัง เมื่อเสร็จจากงานประจำก็มาใช้เวลาศึกษาตลาดตั้งแต่ 5 ทุ่มจนถึงตี 5

“เมื่อก่อน เราไม่กล้าลงเงิน เราไม่มั่นใจ เราก็แค่นั่งดูตลาดว่าจะขึ้นหรือจะลง แล้วเราก็นั่งเทรดกระดาษเอง ทำอยู่ 3 เดือน เมมาเทรดจริงๆ ตอนปลายมีนาคม 2564”

เทรดคริปโทฯ ครั้งแรกประสบความสำเร็จเลยหรือเปล่า เมตอบทันทีว่า “ไม่”

“ไม่ได้โลกสวยอย่างนั้น ปกติเมเป็นคนป๊อดนิดหนึ่ง เวลาเราเทรดเอง เราจะเซฟ เข้าจุดนี้ออกจุดนี้ ถ้าหลุดเงื่อนไขก็จะคัตเลย มีอยู่ครั้งหนึ่ง เทรดตามเพื่อนบอก ก็ลองเชื่อสักครั้ง ด้วยความที่เราไม่ได้คิดเอง ใช้หูเทรด ตอนนั้นก็คือ ติดลบไปหลายหลัก จากจุดนั้น ทำให้เมได้พัฒนาตัวเอง โดยเอาความรู้ที่มีทุกอย่างที่เคยฝึกฝนมา จากการตอบคำถามคนอื่น จากการนั่งดูตลาดด้วยตัวเอง มาแก้ปัญหา จนกลับมาบวกได้”

“ซึ่งกว่าจะแก้ได้ก็ต้องใช้เวลา 2 วัน ทั้งวันทั้งคืน แบบคอยดู เข้ายังไง ถัวยังไง หนักหน่วง สมองแทบแตกเหมือนกัน เคยเจ็บมาก่อนเหมือนกัน ไม่ใช่ว่าไม่เคยเจ็บ เป็นบทเรียนราคาแพง และนักลงทุนทุกคนต้องมีบาดแผล”

ปัจจุบัน เมอยู่ในตลาดคริปโทฯ มาแล้ว 9 เดือน ลาออกจากงานประจำมาเทรดฟูลไทม์แล้ว 4-5 เดือน พยายามพัฒนาตัวเองตลอดเวลา โดยมีความตั้งใจที่จะเป็นนักลงทุนในระยะยาว ใช้ชีวิตอย่างที่ต้องการ เที่ยวรอบโลก และช่วยเหลือสังคม

“ทุกวันนี้ เมสามารถที่จะเลือกทำอะไรเวลาไหนก็ได้ ก็มีเวลาตรงนี้ และก็ได้เติมเต็มตัวเองในเรื่องการช่วยเหลือสังคมด้วย ซึ่งทุกวันนี้ พอเทรดไปเรื่อยๆ มันก็จะไม่ตื่นเต้นเหมือนเมื่อก่อน เป็นการทำอะไรซ้ำๆ เดิมๆ ที่ต้องมีวินัย ที่ต้องมีระบบในการจัดการกับอารณ์ซ้ำๆ เดิมๆ ไม่ใช่การเทรดอย่างเดียว แล้วแฮปปี้ เหมือนเราทำงานประจำอย่างหนึ่ง ก็ต้องมีวินัยกับการลงทุน”

จากประสบการณ์ในตลาดคริปโทฯ เมตอบคำถามว่าทำไมตลาดคริปโทฯ ผันผวนแรงได้อย่างน่าสนใจว่า

“หลายๆ คน มีข้อดิสเครดิตคริปโทฯ ว่าเป็นตลาดปั่น เป็นตลาดที่ไม่น่าเชื่อถือ ถามว่าทำไมราคาถึงสะวิงได้ขนาดนั้น เพราะไม่มีใครมาควบคุมกลไกราคาของมัน”

“จริงๆ คำพูดนั้น ผิดไปเลยไหม? เมก็บอกเลยว่า ไม่ผิด เพราะการที่ตลาดมีการผันผวน 20-30% เป็นเรื่องปกติของตลาดนี้ เพราะ 1.ไม่มีคนควบคุมกลไกราคาที่เกิดขึ้น 2.บางโปรดักต์ก็ไม่มีแวลู (value) ของมันจริงๆ พอโปรดักต์ไม่มีมูลค่า สุดท้ายถ้าคนก็ไม่ถือ มันก็จะเป็นเรื่องปกติที่ราคาสุดท้ายจะดิ่งลง หรือมันจะร่วงลงไปอย่างมาก”

“แต่ข้อนี้ มีในทุกตลาด นึกถึงจตุคามรามเทพสมัยก่อน แชร์ลูกโซ่ หรือมีหุ้นบางตัวที่เข้ามาอยู่ในตลาด แต่สุดท้ายแล้ว ตายหายไปก็มีเหมือนกัน เพราะตัวโปรดักต์ไม่ดี ไม่ตอบโจทย์กับโลกปัจจุบัน”

“อย่างการขึ้นของเหรียญที่ระลึก เหรียญหมา หรือ DOGE coin ถ้าเราศึกษาจริงๆ คือ เหรียญที่ผลิตขึ้นมาเพื่อเป็นเหรียญที่ระลึกเฉยๆ แต่มันขึ้นแบบหลักพันเปอร์เซ็นต์”

“ถามว่าเทรดได้ไหม ถ้าไม่ใช่เก็บระยะยาวแบบสะสม แต่เพื่อทำให้พอร์ตโต หรือทำให้สโตร์ ออฟ แวลู ก็เทรดได้ หาช่วงทำกำไรได้ คือ มันเมกเซนส์อยู่แล้ว ถึงจุดหนึ่งที่เค้าปั่น สุดท้าย คนที่เป็นนักลงทุน เค้าเข้ามาหาผลกำไร เหมือนเราๆ นี่แหละ แต่เค้าศึกษา ส่วนคนที่เข้ามา เข้ามาตอนที่มันขึ้นไปแล้วหลักพันเปอร์เซ็นต์ อันนี้ไม่แน่ใจว่า เค้าศึกษาหรือเปล่า พอถึงเวลา ทั้งเหรียญเอง มันก็ไม่ได้มีมูลค่าในตัว ทั้งเรื่องของการที่ไม่มีใครมาควบคุมกลไกราคาที่เกิดขึ้นอีก สุดท้ายมันก็จะลงแรง ก็เป็นเรื่องปกติ”

ทั้งนี้ เมค่อนข้างห่วงนักลงทุนมือใหม่ที่สนใจตลาดคริปโทฯ แต่ไม่หาความรู้ให้ดีเสียก่อน

“คนส่วนใหญ่ที่เข้ามาแล้วเจ๊งในตลาดก็มีไม่น้อย เป็นเพราะขาดการศึกษา เมค่อนข้างเป็นห่วงวัยรุ่น แต่จริงๆ ไม่ต้องวัยรุ่น ขนาดอายุ 40-50 ปี บางคนมาปรึกษาเมเพราะเห็นว่า คนอื่นทำเงินได้ แล้วก็เข้ามา แล้วไม่ศึกษาดีๆ”

“ตลาดนี้ก็ต้องยอมรับว่ามันเล่นกับความโลภของคนค่อนข้างเยอะ แต่อย่างที่บอก ถ้าเรามีความรู้ มันจะปิดตรงนี้ได้ ในการลงทุน สิ่งที่สำคัญคือความรู้ กับการควบคุมอารมณ์ การมีวินัยกับอารมณ์ของตัวเอง การจัดการกับระบบการลงทุนของตัวเอง อันนี้สำคัญ!!”

“ซึ่งตลาดจะคัดกรองคนที่ไม่ได้ศึกษา คนประสบความสำเร็จจากตลาดนี้ ประมาณ 10-15 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งคนที่ประสบความสำเร็จ ต้องมีคุณสมบัติ 2 อย่างหลัก คือ นอกจากความรู้ ก็มีการจัดการตัวเอง การรับผิดชอบตัวเอง การจัดการอารมณ์ตัวเอง ส่วนคนเจ๊งมีเยอะมาก 8 หลักก็มี 6 หลักคือเรื่องธรรมดา ส่วนใหญ่เป็นผู้ใหญ่ ส่วนเด็กๆ เน้นโชว์ได้เปอร์เซ็นต์เยอะ เด็กๆ ไม่ค่อยเจอเท่าไหร่ ส่วนใหญ่ ผู้ใหญ่ที่เสียเยอะ”

เมแนะนำ คนที่สนใจอยากลงทุนในคริปโทฯ ว่า

1.อยากให้เห็นความสำคัญเรื่องการลงทุนจริงๆ ก่อน เพราะส่วนใหญ่คนที่เข้ามาทุกวันนี้ ทำไมตลาดคัดเลือกออกไป เพราะเค้าเจ๊ง พอเค้าเจ๊ง สุดท้ายก็ยอมแพ้ และท้อแท้ไป เขาไม่เห็นความสำคัญจริงๆ ว่าการลงทุน ช่วยอนาคตได้ยังไง สิ่งนี้สำคัญมาก ต้องเข้าใจการลงทุนจริงๆ เห็นความสำคัญจริงๆ ก่อน ก่อนจะเข้ามาลงเงิน ถ้าเราไม่เข้าใจความสำคัญของมัน มันจะทำให้เราอยู่ได้ไม่นาน ได้เงินแป๊ปๆ แล้วไป ได้เงินแล้วเอาไปใช้ หรือเสียแล้วออกจากตลาดไป มันอยู่ได้ไม่นาน

“การลงทุนคือเครื่องมือหนึ่งในการช่วยเราสโตร์ ออฟ แวลู ถ้าเราไม่ลงทุนกับอะไรเลย จริงๆ ไม่ต้องคริปโทฯ อย่างอื่นก็ได้ มันจะทำให้คนจนลง”

2.หลังจากศึกษาเรื่องการลงทุนแล้ว จัดการการเงินของตัวเองก่อน มีคนที่กระแสเงินสดต่อเดือนเป็นลบ และเห็นคนอื่นได้เงินจากตลาดนี้ อยากเข้ามาปั่นเงินก่อน เพื่อปิดหนี้ เอาไปปิดบัตรเครดิต (ช่วงนี้เจอเยอะมาก) เอาเงินที่ใช้ในชีวิตประจำวัน เอามาปั่นก่อน สุดท้าย บางทีติดดอย ถึงเวลาจ่ายรอบ ก็ต้องคัตออกมา เอามาจ่าย เพราะงั้นลองจัดการการเงินตัวเองก่อน อันนี้สำคัญ ถ้ากระแสเงินสดยังไม่เป็นบวก อย่าไปลงทุน

3.ศึกษาเรื่องของที่มาความสำคัญของเงิน ประวัติของตัวเงิน และเราจะเข้าใจมากขึ้น และเราจะรู้ว่า เรื่องเงินที่เราถืออยู่ทุกวันนี้ เราจะรู้ว่า เดี๋ยวมันจะด้อยค่าลงเรื่อยๆ

4.การลงทุนคริปโทฯ ไม่ได้มีด้านการเทรดด้านเดียว ถ้าอยากลงทุนอะไร ก่อนอื่นถ้าเราสนใจคริปโทฯ เราต้องลองศึกษาว่า เราลงทุนอะไรแล้วเหมาะกับเรา สไตล์ไหนที่ตัวเราสนใจ ต้องลองไปศึกษาด้วยตัวเองก่อน เงินมาได้หลายรูปแบบ การลงทุนไม่ต้องจำกัดรูปแบบว่าเป็นการเทรดอย่างเดียว เพราะงั้นต้องลองดูก่อนว่า สนใจอะไร ชอบอะไร

5.หลังจากที่รัฐบาลเก็บภาษีคริปโทฯ 15 เปอร์เซ็นต์ ก็อยากให้ศึกษาเรื่องภาษีให้รอบคอบด้วย

กับกรณีภาษี เมให้ความคิดเห็นว่า การที่รัฐจะเก็บภาษี มองเป็นเรื่องยอมรับได้ เป็นเรื่องปกติ เมื่อเราสร้างรายได้ขึ้นมาก็เสียภาษีเพื่อช่วยเหลือประเทศได้

“แต่ประเด็นจะมีความยุ่งยาก ซึ่งมองว่าระบบยังไม่ดีเท่าไหร่ ถามว่าผิดไหม จริงๆ การสร้างรายได้และเสียภาษีก็ไม่ผิด แต่แค่อาจจะต้องจัดการระบบให้ดีกว่านี้ เรื่องหักภาษี ณ ที่จ่าย ไม่เวิร์ก ต้องทำระบบให้ดีมากจริงๆ ส่วนเรื่องการรวมภาษีรายได้ส่วนบุคคล อย่างน้อยควรมีการออกมาชี้แจงวิธีการให้ความรู้ก่อน แล้วก็บอกวิธีการก่อน เคลียร์กันให้ชัดเจนก่อน เพราะว่าเพิ่งมามีตอนต้นปี คิดว่าระบบยังไม่พร้อมที่จะมาจ่ายปีนี้เลย”

“มองในเรื่อง 15% ก็แอบแรงอยู่ ขณะที่อัตราจัดเก็บภาษีหุ้นอยู่ที่ 0.1% เท่ากับหากมีการขายหุ้นมูลค่า 1 ล้านบาท แต่ทำไมคริปโทฯ ถึงเก็บ 15% ดูไม่ค่อยยุติธรรมเท่าไหร่ แต่เรื่องเอาไปทบกับรายได้รายปี อันนี้โอเค ไม่แย่เลย แต่แค่ว่าควรจะมีการชี้แจงรายละเอียดอะไรทุกอย่างให้ผู้ลงทุนก่อน ไม่ใช่อยู่ดีๆ จะมาเก็บเลย ควรให้ผู้ลงทุนมีความรู้ก่อน พอมีภาษีเข้ามาตรงนี้ อาจจะส่งผลกระทบต่อโปรดักทิวิตี้ที่จะเกิดขึ้นด้วย ยูสเซอร์ก็อาจจะน้อยลง ดีเวลลอปเปอร์ก็อาจจะน้อยลงเหมือนกัน เมื่อการเสียภาษีตรงนี้ไม่คุ้ม สุดท้าย ยูสเซอร์ไม่เกิด ดีเวลลอปเปอร์โปรดักต์ก็ไม่เกิด

“แต่สำหรับคนที่มีเงินก้อนใหญ่ก็อาจไม่ได้รับผลกระทบมาก แต่ถ้าเป็นรายย่อยก็จะสร้างความเหลื่อมล้ำให้สังคม จะมีเรื่องฐานะในสังคมเข้าไปอีก มันยิ่งสร้างความเหลื่อมล้ำเข้าไปอีก อย่างบางคน รายย่อยกำลังจะเริ่มศึกษาการลงทุน ลงทุนไปนิดๆ หน่อยๆ เริ่มแรกได้บ้างเสียบ้าง มันยังไม่ตอบโจทย์ตรงนี้ ตอนนี้ระบบยังไม่ซัพพอร์ตในการเก็บภาษีตรงนี้เหมือนกัน”

เมทิ้งท้ายว่า ไม่ว่าจะเป็นเรื่องภาษีหรือเรื่องการลงทุน ทุกอย่างต้องศึกษาหาความรู้มาก่อนและวางแผนมาก่อน อย่างเรื่องภาษีเมื่อเรารู้แล้วว่าต้องเสีย แต่ถ้าเรามีความรู้และเราไม่มีแผนก็จบ ก็ไม่มีค่า ดังนั้น เราต้องวางแผนทำระบบหลังบ้านให้ดี ข้อมูลที่เราเทรดได้เทรดเสีย ต้องมีการจดบันทึกและเตรียมการ ทุกอย่างต้องมีการศึกษาและวางแผนก่อน อย่างเอาแต่กระแสอย่างเดียว

การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลให้รอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุน

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image