ที่มา | หนังสือพิมพ์มติชนรายวัน หน้า 14 |
---|---|
เผยแพร่ |
สื่อสารตรงๆ แบบสง่างาม คัมภีร์โยนี (The Vagina Bible) หักล้างทุกมายาคติบิดเบี้ยว
คัมภีร์โยนี “แด่ผู้หญิงทุกคน ที่เคยได้ยินผู้ชายบางคนบ่นเรื่องโยนีของผู้หญิงว่า น้ำมากเกินไป แห้งเกินไป ดำไม่สวย ย้วยเกินไป หลวมโพรกเกินไป ตีบเกินไปดันไม่เข้า มีเซ็กซ์แล้วเลือดออกเยอะเกินไป หรือกลิ่นแรงเกินไป”
ตัวอักษรคำโปรยบนหน้ากระดาษ โบกมือชวนให้ “เหล่าผู้มีโยนี” ที่เจ็บช้ำกับถ้อยคำเหล่านี้ เข้าไปทำความรู้จักกับอวัยวะติดตัวและเรื่องราวโดยรอบให้มากขึ้น แหวกมายาคติ เสริมพลังอำนาจด้วยความรู้ความเข้าใจ
ยามที่มีคนกล่าวถึง “อวัยวะเพศหญิง” และผู้พูดเป็นผู้หญิง เธอมักจะถูกมองว่าเป็นคน “ก๋ากั่น” ต้องผ่านสมรภูมิด้านเซ็กซ์มานับไม่ถ้วน สะท้อนให้เห็นว่าในสังคมยังมี “มายาคติ” ที่ยึดโยงอวัยวะเพศหญิงเข้ากับ “ความเร้นลับ” เป็นเรื่องต้องห้าม เป็นเรื่องอนาจาร เป็นสิ่งที่ต้องกระมิดกระเมี้ยนเวลาเอื้อนเอ่ยถึง
แม้ว่าอวัยวะเพศส่วนนี้จะมีฟังก์ชันหลากหลาย ทั้งในการให้กำเนิด และเป็นหนึ่งในร่างกายมนุษย์ ทว่าฟังก์ชันในการร่วมสังวาส กลับถูกกล่าวถึงมากกว่า และก็เลวร้ายลงไปอีกเมื่อถูกลดทอนไปใช้เป็นคำด่า
มายาคติ กลุ่มก้อนนี้ไม่ได้เกิดขึ้นแค่ในสังคมไทย แต่ในสังคมของชาวอเมริกันที่ดูเหมือนว่าจะเปิดกว้างเรื่องสิทธิและเพศมากกว่าไทยก็เผชิญกับกำแพงนี้เช่นกัน ดังเช่นหนังสือของ พญ.เจ็น กันเทอร์ ผู้เขียน “คัมภีร์โยนี” (The Vagina Bible) ที่พยายามทุบกะลามายาคติดังกล่าวให้หมดไป ทันทีที่คัมภีร์โยนีฉบับภาษาอังกฤษวางขายสังคมออนไลน์ในอเมริกาก็เจอกับเสียงครหาว่าหนังสือเล่มนี้เหมาะสมที่จะวางขายได้หรือไม่ เพราะมี คำว่า “วะจายนา” (Vagina) เป็น “คำหยาบ” อยู่บนปกหนังสือ
ท่ามกลางเสียงวิจารณ์ หนังสือของหมอกันเทอร์กลับติดจรวดพุ่งขึ้นเป็นหนังสือขายดีอันดับ 1 ในแคนาดา ทั้งยังติด 1 ใน 5 อันดับขายดีในประเทศสหรัฐอเมริกา ด้วยบนหน้ากระดาษ 656 หน้าที่เผยทุกข้อมูลเกี่ยวกับระบบสืบพันธุ์ของผู้หญิงได้ “หักล้างทุกมายาคติบิดเบี้ยวเกี่ยวกับโยนีและช่องโยนี”
ในฉบับภาษาไทยตีพิมพ์โดยสำนักพิมพ์แม็กพาย แปลโดย “นิธินันท์ ยอแสงรัตน์” ที่พูดถึงการแปลผลงานชิ้นนี้ว่า “สนุกเป็นบ้าเลย” พร้อมเล่าถึงเหตุผลที่ตั้งชื่อว่า “คัมภีร์โยนี” ด้วยไม่ต้องการใช้คำเลี่ยงตามเจตนารมณ์ของผู้เขียน
กล่าวคือในไทยมีคำเรียกอวัยวะเพศหญิงแต่ปัจจุบันมีสถานะเป็นคำหยาบ เช่นเดียวกับคำว่า “วะจายนา” (Vagina) ในภาษาอังกฤษก็ถูกมองว่าเป็นคำหยาบ น่าอาย จึงมีการเลี่ยงไปใช้คำอื่น ไม่ว่าจะเป็น หอย น้องสาว จิ๊มิ อิปิ๊ ซึ่งหมอกันเทอร์ได้เรียกร้องให้ใช้คำเรียกอย่างตรงไปตรงมาเพื่อยืนยันคุณค่าและความสง่างามของอวัยวะเพศหญิง
ทั้งนี้ผู้แปลได้เลือกใช้คำว่า “โยนี” แทนคำเรียกอวัยวะเพศหญิงในภาษาไทย ยืนยันว่าไม่ใช่คำเลี่ยง แต่มาจากภาษาสันสกฤต ซึ่งมีความหมายว่าอวัยวะเพศหญิงและทุกส่วนของอวัยวะเพศหญิง เป็นแหล่งกำเนิดปัญญา และใช้คำว่า “ลึงค์” แทนอวัยวะเพศชาย ไม่ใช้คำว่า “องคชาติ” เพราะเป็นการเชิดชูเพศชายเกินเหตุ
จะเห็นได้ว่าแม้แต่ในเชิง “ภาษาศาสตร์” ก็ยังมีมายาคติด้านเพศครอบงำความหมาย จึงเป็นการต่อสู้กับการกดขี่ทางเพศในทางหนึ่ง
เมื่อเปิดคัมภีร์จะเจอคำอธิบายการแพทย์อ้างถึงงานวิจัยและข้อมูลที่เชื่อถือได้ที่ลบล้าง “ความรู้” บางอย่างที่ “เชื่อ” มาตลอด อาทิ
“คริตอริสมีขนาดใหญ่กว่าตาเห็นด้วยตามาก และเป็นอวัยวะเดียวที่มีหน้าที่เพื่อความสุขเท่านั้น”
“ภายใน 2 ปีหลังจากรับฮอร์โมนเทสโทสเตอโรน ผู้ชายข้ามเพศอาจมีตกขาวและรู้สึกเจ็บช่องโยนี”
ในหนังสือระบุไว้ในบทของความสุขทางเพศ ตอนหนึ่งว่า เป็นเรื่องยากที่จะคุยเรื่องเซ็กซ์แบบมีเหตุผล ทำให้ฝ่ายหญิงมักเสียเปรียบเสมอ นอกจากจะโดนสังคมตราหน้าว่าร่างกายสกปรกแล้ว ยังต้องเชื่อฟังคำสั่งสอนตั้งแต่หัวเท่ากำปั้นว่าควรหรือไม่ควรทำอย่างไรให้น่ารักตาม มาตรฐานสังคมชายเป็นใหญ่
ด้วยเหตุนี้จึงมีมายาคติทางเพศมากมายที่บั่นทอนความสุขทางเพศของผู้หญิงให้เหลือเพียงความสุขทางเพศตามมาตรฐานของเพศชาติ อาทิ
ด้วยความเชื่อที่ปลูกฝังมานานว่าผู้หญิงสามารถถึงจุดสุดยอดทางช่องโยนี แต่ความจริงมีผู้หญิงเพียง 1 ใน 3 เท่านั้นที่สามารถถึงจุดสุดยอดโดยสอดใส่ลึงค์เพียงอย่างเดียว ทำให้ผู้หญิงจำนวนมากคิดว่าตัวเองผิดปกติในการตอบสนองทางเพศ จึงไม่แปลกใจว่าทำไมผู้หญิงหลายคนแกล้งถึงจุดสุดยอดกับคู่นอนเพศชาย
มายาคติเรื่องเพศก็ส่วนหนึ่ง ยังมีมายาคติเรื่องสุขภาพ ระบุไว้ในบทของตำนานที่ต้องหักล้างเกี่ยวกับโยนี ยกตัวอย่างหัวข้อ “กินยาคุมกำเนิดทำให้อ้วน” เป็นเรื่องไม่จริง อิงจากผลการศึกษาที่ระบุตรงกันว่าการกินยาคุมกำเนิดกับจำนวนน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นไม่เกี่ยวข้องกัน
“ไข่หยกช่องโยนี สอดเข้าไปในช่อง ซึมซับพลังหญิงที่แท้จริง” โฆษณาสินค้าโดยนักแสดงฮอลลีวู้ดที่สะท้อนทัศนคติบรรทัดฐานรักต่างเพศแบบเดิมๆ ที่สอดคล้องกับแนวคิดชายเป็นใหญ่อย่างน่าสิ้นหวัง เพราะช่องโยนีไม่ได้ทำให้ผู้หญิงเป็นผู้หญิง แต่ความรู้สึกข้างในต่างหากที่ทำให้เป็นหญิง ไข่หยกไม่ได้ช่วยเสริมพลังอำนาจให้แก่ผู้หญิงแต่อย่างใด
อย่างไรก็ตาม แม้แนวคิดชายเป็นใหญ่และยาปลอมรักษาโรคครอบจักรวาลยังคงมีอิทธิพลครอบงำสังคม แต่ชัดเจนว่าผู้หญิงสามารถติดอาวุธความรู้ด้านสุขภาพเพื่อเสริมพลังอำนาจและรู้เท่าทันเมื่อต้องเผชิญหน้ากับอคติทางเพศและข้ออ้างทางการแพทย์ได้
และนี่คือ “วาระว่าด้วยเรื่องโยนี”