สู้หมดหน้าตัก กับเหตุผลที่ทำไม ‘ป้ามล’ ต้องไปต่อกับ ‘บ้านกาญจนาฯ’
“ป้าจะไม่ไปไหน ถ้าจะไล่ให้มาไล่ที่บ้านกาญจนาฯ”
น้ำเสียงที่หนักแน่นของ ‘ป้ามล’ ทิชา ณ นคร ในวันที่ประกาศจุดยืนชัดเจน หลังกองทรัพยากรบุคคล กรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนแจ้งว่างบประมาณในปี 2568 จะมีการตัดงบในตำแหน่งผู้เชี่ยวชาญพิเศษด้านเด็ก และเยาวชนในฐานะ “ผู้อำนวยการบ้านกาญจนาภิเษก” หรือยุติการทำหน้าที่ผู้อำนวยการฯ ของเธอ ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในสังคม ในคำสั่งที่เปรียบดั่งอัสนีบาตฟาดลงกลางใจของป้ามล และเยาวชนผู้ถูกเจียระไนโดยบ้านกาญจนาภิเษก
ท่ามกลางเสียงคัดค้านเซ็งแซ่กับประเด็นดังกล่าว มูลนิธิเด็ก เยาวชนและครอบครัว มูลนิธิหญิงชายก้าวไกล อดีตเยาวชนศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชน (ชาย) บ้านกาญนาภิเษก จัดงานเสวนา “เปิดใจป้ามล และงานวิจัยบ้านกาญจนาภิเษก…ไปต่อ หรือพอแค่นี้” ณ สมาคมผู้บำเพ็ญประโยชน์แห่งประเทศไทย เพื่อประกาศจุดยืน พร้อมกับความเชื่ออย่างหนักหนาว่า บ้านกาญจนาภิเษกเป็นมากกว่าคุกเด็ก แต่เป็นบ้านแห่งโอกาสที่พร้อมขัดเกลาเยาวชนผู้หลงผิด กลับกลายเป็นพลเมืองดีคืนสู่สังคม
อรุณฉัตร คุรุวาณิชย์ นักวิจัยและผู้บริหารไลฟ์ เอ็ดดูเคชั่น ไทยแลนด์ ไล่เรียงเหตุผลที่บ้านกาญจนาภิเษกและป้ามลต้องอยู่ต่อ ซึ่งอ้างอิงจากกงานวิจัย โดยเผยว่า ได้เข้าไปสำรวจปรากฏการณ์ในบ้านกาญจาภิเษก ครั้งแรกที่รู้จักกับป้ามล คงจะมีเพียง “ความรู้สึกทึ่ง” ที่เขาจะมีต่อป้ามลได้ในวินาทีแรกที่พบกัน ทึ่งในนวัตกรรมช่วยเหลือเยาวชนที่อยู่ในบ้านกาญจนาฯ ที่นี่ไม่ได้มีเวทมนตร์ที่ร่ายคาถา เสกใครให้เปลี่ยนแปลง แต่ที่นี่ออกแบบกระบวนการอย่างประณีตในทุกขั้นตอน
“บทบาทแรกของป้ามลคือการเป็นผู้อำนวยการศูนย์ฝึกที่ทำให้บ้านกาญจนาฯ บรรลุเป้าหมาย คือ ลดการกระทำความผิดซ้ำ เยาวชนหลายคนกลับไปเป็นพลเมืองของประเทศที่แข็งแกร่ง นี่คือผลลัพธ์เชิงประจักษ์ของบ้านกาญจนาฯ”

“บทบาทที่สองคือ ป้ามลเข้ามาในบ้านกาญนาฯ ในฐานะคนเข้ามาพัฒนานวัตกรรมเพื่อตอบสนองต่อผู้ก้าวพลาดและเยาวชนในประเทศไทยว่าควรได้รับการดูแลอย่างไร ซึ่งเป็นวิธีที่นำเรื่องราวของมนุษย์มาช่วยเหลือมนุษย์ การไปต่อของบ้านกาญจนาฯมากกว่าการเป็นศูนย์ฝึก ณ วันนี้บ้านกาญนาฯ สามารถเข้าไปช่วยเหลือบ้านแห่งอื่นได้ ก่อนโควิด มีหน่วยงานที่มาดูงานที่บ้านกาญจนาฯ ในหนึ่งปีมีกว่า 60 หน่วยงาน นี่คือความชัดเจนว่าสิ่งที่อยู่ในบ้านกาญจนาฯ มันเหนือกว่าการเป็นศูนย์ฝึกแต่กำลังทำหน้าที่เป็นศูนย์พัฒนานวัตกรรม” อรุณฉัตรฉายภาพให้เห็นอย่างชัดเจน
“ถ้าป้ามลไม่อยู่บ้านกาญนาฯ แล้วไปต่อได้ไหม ไม่ได้แน่นอน แต่ถ้าหากมีคนแบบป้ามลมาบริหารทำได้ไหม ได้สิ คนที่จะมาทำหน้าที่นี้ไม่ใช่ใครก็ได้ แต่ต้องมีคุณลักษณะบางอย่างคล้ายกับป้ามล”
ด้าน หมอโอ๋ จิราภรณ์ อรุณากูร เจ้าของเพจ เลี้ยงลูกนอกบ้าน เสริมว่า “สิ่งที่ป้ามลทำไม่ใช่แค่การเปลี่ยนแปลงคน แต่มันเป็นการเปลี่ยนความคิดของคนว่ามนุษย์เราผิดพลาดได้ แต่เราเติบโตได้ เพียงแค่หันไปรดน้ำพรวนดินให้เติบโตมาเป็นพลเมืองที่ดี ป้ามลทำให้เรามองเห็นว่า จริงๆ แล้วเยาวชนไม่ได้อยากทำความผิด แต่มีปัจจัยหลายอย่าง เราเข้าไปในบ้านกาญจนาฯ มีโอกาสคุยกับเด็กคนหนึ่ง เขาผ่านคดีข่มขืน ฆ่าสามศพ หลังจากที่ได้พูดคุย สิ่งที่เกิดขึ้นในใจคือ เรากำลังคุยกับใครอยู่ เพราะเขาเป็นเด็กที่พูดอะไรได้ดี ฉลาด แต่กว่าเขาจะเป็นแบบนี้ ต้องผ่านกระบวนการมาอย่างลำบาก ด้วยการที่ป้ามลเชื่อมั่นว่ามนุษย์เรามีด้านที่เติบโตได้อยู่ในใจ”

“มันไม่ใช่แค่การเปลี่ยนแปลงเด็ก แต่มันคือการเปลี่ยนแปลงสังคมของเด็กคนหนึ่งเวลามีปัญหามันเกิดจากสภาพแวดล้อม ไม่ว่าป้ามลจะอยู่ หรือไม่อยู่ แต่บ้านกาญจนาฯ ต้องไปต่อ และต้องมีคนสืบสานตรงนี้” เธอยืนยันข้อเท็จจริงนี้อย่างหนักแน่น
ขณะที่เสียงยืนยันจากเยาวชน ศิษย์เก่าบ้านกาญจนาฯ ที่ลุกขึ้นพรั่งพรูความในใจที่มีต่อประเด็นดังกล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ แต่กลับประจักษ์ชัดเหลือเกินในหัวใจ
“บ้านกาญจนาทำให้เราเชื่อว่าเราสามารถเป็นคนที่ดีขึ้นได้กว่าเดิม จากที่เราถูกกล่อมเกลามาเสมอว่า ไม่สามารถกลับตัวกลับใจได้”
ประโยคที่สร้างความสั่นไหวในจิตใจแก่ ป้ามล ขณะเดียวกันยิ่งสร้างแรงฮึกเหิมให้กับเธอมากกว่าเดิม โดย ป้ามล ประกาศจุดยืนเสียงดังฟังชัดว่า “เราอายุ 72 ปี คนในครอบครัวต้องการให้ถอย แต่ในเชิงสัญลักษณ์เราไม่สามารถทำได้ เราอายุมาก และแม้จะบาดเจ็บอีกสักกี่ครั้ง เรารับมือกับเรื่องเหล่านี้ได้ หากถามว่าจะไปต่ออย่างไร ต้องมาไล่ถึงบ้านกาญจนาภิเษก”
“เราไม่ได้อยู่เพราะอยากได้เงินเดือน แต่เราอยู่เพื่อต้องประกาศว่าคุณจะมาทำลายเยาวชนไม่ได้ จะมาทำลายความฝันและความเชื่อมั่นของเด็กๆ ไม่ได้ ขอยืนยันว่าเราจะไม่ประนีประนอมกับอำนาจรัฐ แม้บ้านกาญจนาภิเษกจะเป็นของรัฐก็ตาม จะไปต่ออย่างไรนั้น ป้ายังไม่ไป นี่ไม่ใช่ความหน้าด้าน แต่คือการปกป้องระบบที่เราค้นพบ และไม่ถูกรับช่วงต่อหรือพัฒนาต่อ อยากให้รัฐเข้าใจว่า ถ้าเราไม่สามารถปกป้องจุดยืนของเราได้ แล้วเราจะปกป้องใครได้ ในอายุและช่วงเวลาของป้าเหมาะสมแล้วที่จะสู้จนหมดหน้าตัก”
“ไม่มีอะไรจะเสีย นอกจากสูญเสียความศรัทธา และความเคารพที่มีต่อตัวเอง ซึ่งป้าจะไม่ใช่คนนั้นเด็ดขาด”
“จงดื้อรั้นให้นานพอ เราไม่ได้อยากดื้อกับใคร เพราะทราบดีว่าหากทำอย่างนั้นจะมีคนไม่พอใจ แต่บางครั้งนี้อาจจะเป็นราคาที่ต้องจ่ายเพื่อสังคมที่ดีขึ้น” ป้ามลกล่าว
เพื่อวันที่บ้านกาญนาฯ จะผลิบานในสังคมแห่งโอกาส