‘3 สาวทรานส์’ แถวหน้าเมืองไทย สวยฉ่ำ ‘มีมง’ เวทีมิสทิฟฟานี
เป็นเวทีหนึ่งเดียวของ “สาวทรานส์เจนเดอร์” สำหรับเวที “มิสทิฟฟานี่” เวทีระดับตำนานภายใต้การนำของ “จ๋า-อลิสา พันธุศักดิ์ คุนผลิน” ภรรยาคนเก่งของ “อั๋น ภูวนาถ คุนผลิน” ที่แจ้งเกิด “สาวทรานส์” ให้โด่งดังเป็นที่ชื่นชอบ มีชื่อเสียงระดับแถวหน้าของเมืองไทย
ไม่ว่าจะเป็น ปอย ตรีชฎา, โม จิรัชยา, โยชิ รินรดา ที่นอกจากความสวยปังออร่าพุ่งแล้ว พวกเธอยังเปี่ยมไปด้วยความสามารถหลากหลายด้านอีกด้วย
มาเริ่มกันที่ “ปอย ตรีชฎา เพชรรัตน์” สาวมากความสามารถระดับอินเตอร์ เป็นคนจังหวัดพังงา เธอโด่งดังจากการประกวดมิสทิฟฟานี่ยูนิเวิร์ส ประจำปี 2547 ที่เข้าประกวดปีแรกก็สามารถคว้ามงมาครองได้สำเร็จ ด้วยอายุเพียง 18 ปี
ซึ่งเธอก็ไปสุดในเวย์นางงาม เมื่อป็นตัวแทนประเทศไทยเข้าประกวดมิสอินเตอร์เนชันแนลควีน 2547 ในโรงละครทิฟฟานี่ พัทยา ปอยก็ไม่ทำให้แฟนๆ ผิดหวัง สามารถคว้ามงแรกมาให้ประเทศไทยเช่นกัน นับเป็นการคอนเฟิร์มว่า ปอย ตรีชฎา เป็นสาวข้ามเพศที่สวยที่สุดในโลก
ความสวยปังของเธอทำให้ปอย ตรีชฎา ได้รับโอกาสทำงานในวงการบันเทิง ทั้งงานถ่ายแบบ งานแสดงมิวสิกวิดีโอ ละคร และภาพยนตร์ ซึ่งเธอได้รับรางวัล The Nine Fever Awards ครั้งที่ 1 สาขา Miss Queen Fever สาวประเภทสองที่ได้รับความนิยม อีกด้วย ซึ่งส่งให้เธอโกอินเตอร์ไปในระดับสากล เซ็นสัญญาเป็นนักแสดงกับบริษัทยูนิเวิร์สอาร์ติสต์เมเนจเมนต์ ของฮ่องกง
นับเป็นสาวเก่งมากความสามารถปอย ตรีชฎา มีความสนใจด้านวิทยาศาสตร์ตั้งแต่เด็กๆ จึงได้เข้าศึกษาในคณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สาขาวิชาเทคโนโลยีเครื่องสำอาง มหาวิทยาลัยนอร์ท-เชียงใหม่ ทว่าเรียนได้เพียง 2 ปี เธอก็ได้รับโอกาสสำคัญให้ไปทำงานที่ฮ่องกง จึงทำให้เธอต้องหยุดเรียนอีกครั้ง
กระทั่งโควิด 19 ระบาด ก็เป็นจังหวะให้ ปอย ตรีชฎา กลับมาเรียนใหม่ โดยโอนหน่วยกิตจากมหาวิทยาลัยนอร์ท-เชียงใหม่ มาสมทบกับที่มหาวิทยาลัยสยาม จนสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี ศิลปกรรมศาสตรบัณฑิต นอกจากนี้เธอยังจบหลักสูตรออนไลน์ ภาควิชาประสาทวิทยาศาสตร์ (Neuroscience) มหาวิทยาลัยมหิดล และกำลังศึกษาปริญญาโท สาขาพันธุศาสตร์ระดับโมเลกุลและพันธุวิศวกรรมศาสตร์ (หลักสูตรนานาชาติ) สถาบันชีววิทยาศาสตร์โมเลกุล มหาวิทยาลัยมหิดล อีกด้วย
ปัจจุบัน ปอย ตรีชฎา ก่อตั้งบริษัท ไบโอฟาร์มาเทค จำกัด และบริษัท ไบโอฟาร์มา แปซิฟิก จำกัดบผลิตวิตามินและผลิตภัณฑ์เสริมอาหารมาตรฐาน GMP ที่ใช้เทคโนโลยีระดับโมเลกุลและแล็บสุดล้ำ ส่วนชีวิตรักก็หวานชื่น
ปอยสมรสกับกับ โอ๊ค บรรลุ นักธุรกิจหนุ่ม ในปี 2566 ทายาทบ้านอาจ้อ ต้นตระกูลเก่าแก่ของนามสกุล หงษ์หยก ซึ่งเธอได้เปลี่ยนนามสกุลเป็น หงษ์หยก และเธอก็เชื่อว่า “ความรักครั้งนี้คือรักแท้” และได้โพสต์คำหวานในวันครบรอบแต่งงาน 1 ปีว่า “การคิดถึงวันแต่งงานของเราจะนำความสุขกลับมามากมาย ปีนี้เป็นการเดินทางที่สวยงามของการเติบโตและความรัก ขอแสดงความยินดีกับความทรงจำที่เราทำและการผจญภัยที่รอเราอยู่ นี่คือความรักที่ยั่งยืนของเราและวันครบรอบมากมายที่จะมาถึง”
มาถึงอีกหนึ่งสาวทรานส์มากความสามารถ “โยชิ รินรดา ธุระพันธ์” นางแบบ นักแสดง อินฟลูเอนเซอร์ ที่มี “ความสวย” เป็นอาวุธสังหาร จนเกิดเป็นวลีฮิต “โยชิมาทำไม” ที่ไวรัลไปทั่วโซเชียลกันอยู่พักหนึ่ง ด้วยความสวยออร่า ไม่ว่าเธอจะไปออกอีเวนต์ที่ไหนก็โดดเด่น เสียจนอดที่จะชื่มชมในความสวยนั้นไมได้ แต่กว่าเธอจะเป็นโยชิที่เรารู้จักกันในทุกวันนี้ เธอต้องผ่านการพิสูจน์ตัวเองมากมายทั้งจากครอบครัว และสังคม
ก่อนหน้านี้ เธอเป็นสาวน้อย จังหวัดร้อยเอ็ด ศึกษาระดับมัธยมที่โรงเรียนวัดธาตุทอง จนมาวันหนึ่ง ความโด่งดังก็มาเคาะประตูเรียกเธอถึงหน้าบ้าน หลังจากภาพที่เธอสวมชุดสีม่วงถือป้ายนำขบวนพาเหรดงานกีฬาสีโรงเรียนวัดธาตุทองที่เจ้าตัวโพสต์ลงเฟซบุ๊กส่วนตัว ถูกแชร์ออกไปเป็นจำนวนมาก มีคนให้ความสนใจในตัวเธอ มีการตั้งกระทู้ในเว็บบอร์ด Dek-D และ POSTJUNG ที่ต่างพูดถึงความสวยอันเป็นที่ประจักษ์ของเธอ จนกลายเป็นไวรัล ออกข่าวไปทั่วประเทศ ทำให้มีคนติดตามเธอมาตั้งแต่ตอนนั้น
หลังจากวันนั้น โยชิในวัย 16 ปี ก็มีเอเจนซี่ ติตต่อเข้ามาให้รีวิวสินค้า ไปแคสต์ภาพยนตร์ รวมถึงรายการโทรทัศน์ที่ต้องการให้เธอไปออกรายการ ซึ่งเธอเผยว่า ณ ช่วงเวลานั้น เธอคิดเพียงว่า อะไรที่ทำให้เธอได้เงิน เธอก็เลือกที่จะทำ เพื่อที่จะนำเงินไปจ่ายค่าเทอม และแบ่งเบาภาระครอบครัว โดยเธอมีผลงานการแสดงมากมายทั้งภาพยนตร์ และซีรีส์ อาทิ สิ่งเล็กเล็กที่น่าร็อก, หอแต๋วแตก แหกนะคะ, ซีรีส์ Love Sick Season 2, The Interns หมอ มือ ใหม่
จากโยชิ เน็ตไอดอล โรงเรียนวัดธาตุทอง สู่โยชิ เจ้าของมงกุฏ Miss Tiffany’s Universe 2017 ในวัยเพียง 19 ปีเปลี่ยนชีวิตของวัยรุ่นธรรมดา ให้กลายมาเป็นความหวังของสังคม เหล่าคอมมู LGBTQIA+ หลังสปอตไลท์ส่องมาที่เธอ พร้อมกับความคาดหวังมากมายที่ประเดประดังเข้ามาในฐานะมิสทิฟฟานี่ ทำให้เธอรู้สึกกังวลด้วยกลัวว่าตัวตนของเธออาจจะทำให้สังคมผิดหวัง
แต่จากวันนั้นจนถึงวันนี้ เธอพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าความเป็นตัวเองของเธอไม่ได้สร้างความผิดหวังให้กับคร ในทางกลับกันเธอยังเป็นอินฟลูอินเซอร์ที่แสดงจุดยืนถึงเรื่องความเท่าเทียมทางเพศมาโดยตลอดผ่านงานที่เธอทำ ไม่ว่าจะเป็นถ่ายแบบ ถ่ายโฆษณา มิวสิกวิดิโอ ไปจนถึง ภาพยนตร์ และซีรีส์ เธอมักจะถามก่อนรับงานเสมอว่า “เหยียดเพศไหม” เพื่อที่จะตอกย้ำว่าเหล่าเพศหลากหลายคือคนปกติ จนทุกวันนี้เธอได้กลายเป็นขวัญใจของใครหลายคนไม่ใช่เพียงแค่ LGBTQIA+ เท่านั้น
มาถึงสาวทรานส์ที่สวยสะกดโลกอย่าง “โม จิรัชยา ศิริมงคลนาวิน” อีกหนึ่งสาวงามเจ้าของมงกุฏมิสทิฟฟานี่ 2016 ที่ความสวยเป็นที่ประจักษ์จนคว้ามงกุฏที่ 4 กับประเทศไทย จากเวทีมิสอินเตอร์เนชั่นแนลควีน 2016 ซึ่งเป็นการประกวดสาวประเภทสองระดับโลก นอกจากความสวยที่ก้องโลกแล้วนั้น ความสามารถของเธอก็สมกับมงกุฏไม่มีพร่อง โดยเธอจบการศึกษาระดับปริญญาตรี ด้านออกแบบแฟชั่น คณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ปัจจุบันเธอทำงานเป็นดีไซเนอร์
ด้วยความที่เป็นตัวแม่ด้านแฟชั่น เสื้อผ้า หน้า ผม ในช่วงประกวดของเธอคือเรียกได้ว่าเป๊ะทุกระเบียดนิ้ว เสิร์ฟลุดเริ่ด ๆ ทุกวัน จนแฟนนางงามต่างเคาะให้อยู่บนทำเนียบตัวเต็งในการประกวดทันที ไม่เว่นแม้แต่โลกโซเชียลก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “คนนี้นี่แหละที่จะมง” ซึ่งในการประกวดรอบตัดสิน เธอยังคว้าตำแหน่งขวัญใจสื่อมวลชน และตำแหน่ง MISS SILKY SKIN by ASOKE SKIN HOSPITAL
ภายหลังมงลง จนกลายเป็นตัวแทนประเทศไปประกวดมิสอินเตอร์เนชั่นแนลควีน ซึ่งกว่าจะได้มงกุฏที่ 4 มาครอง เธอเตรียมตัวหลายอย่าง ทั้งปรับลุคให้ดูอินเตอร์เพื่ที่จะคว้าหัวใจกรรมการ ฝึกภาษาอังกฤษให้ดียิ่งขึ้น อีกทั้งเธอยังออกแบบชุดราตรีที่ใช้สวมใส่ในการประกวดเองอีกด้วย
นอกจากนี้ เธอก็ได้ทำโลกโซเชียลฮือฮาอีกครั้ง หลังการปรากฏตัวในรายการ I Can See Your Voice รายการเกมโชว์ร้องเพลง ที่ออกอากาศทางช่อง Work Point โดยเธอเป็นหนึ่งในนักร้องปริศนาที่หยิบเพลง บัวลอย ของวงคาราบาวมาร้อง ซึ่งนั่นทำให้ผู้ชมตกใจเป็นอย่างมาก ว่าสาวโมที่ห้าตาสวยหวานเบอร์นี้ แต่กลับร้องเพลงเพื่อชีวิตอย่างบัวลอย นับตั้งแต่นั้นมาอีกหนึ่งฉายาที่สาวโมได้ไปก็คือ โม บัวลอย
เรียกได้ว่า ทั้งสามสาวเป็นตำนานสาวทรานส์เมืองไทยที่สร้างภาพลักษณ์ใหม่ ๆ ให้กับประเทศ ตอกย้ำความเป็นเมืองแห่งความหลากหลายที่ไม่ว่าใครก็อยากมาเยือน