จัดการฐานข้อมูลที่เป็นเสมือนขุมทรัพย์ขององค์กร ด้วยโซลูชั่นด้านฐานข้อมูลของนูทานิคซ์

จัดการฐานข้อมูลที่เป็นเสมือนขุมทรัพย์ขององค์กร ด้วยโซลูชั่นด้านฐานข้อมูลของนูทานิคซ์

ข้อมูลของบริษัทเป็นขุมทรัพย์ที่เต็มไปด้วยข้อมูลที่มีคุณค่า ซึ่งบริษัทต่าง ๆ สามารถจำแนกข้อมูลเชิงลึกของลูกค้า และค้นพบกุญแจที่จะปลดล็อกความท้าทายต่าง ๆ จากข้อมูลเหล่านั้น เพื่อมุ่งสู่การเติบโตทางธุรกิจได้ ข้อมูลมีความสำคัญแซงหน้าแอปพลิเคชันต่าง ๆ ไปแล้ว โดยจะกลายเป็นปัจจัยหลักที่องค์กรให้ความสำคัญ กลายเป็นทรัพย์สินใหม่ที่มีมูลค่า ต้องได้รับการปกป้อง ใช้ให้เป็นประโยชน์ และใช้อย่างเหมาะสม ทีมงานด้านไอทีมีภารกิจสำคัญที่หนักและยาก ในการบริหารจัดการขุมทรัพย์นี้

ในขณะเดียวกันธุรกิจก็ต้องการยกระดับประสิทธิภาพด้านต่าง ๆ ให้สูงขึ้น ต้องการความคล่องตัวมากขึ้น และต้องการความยืดหยุ่นแม้ว่าปริมาณข้อมูลจะเติบโตในอัตราสูงแบบที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน (เป็นหลักเซตตะไบต์) อย่างไรก็ตาม แม้จะตระหนักถึงความสำคัญของข้อมูลดังที่กล่าวมา แต่สิ่งที่บริษัทต่าง ๆ คาดหวังไว้ก็ยังเป็นไปอย่างลุ่ม ๆ ดอน ๆ มาโดยตลอด และยังไม่ได้ผลเป็นที่น่าพอใจ ไม่ว่าจะเป็นด้านประสิทธิภาพการทำงาน ความคล่องตัว และความพร้อมใช้งานตามที่ธุรกิจต้องการ

เทคโนโลยีแบบดั้งเดิมเป็นอันตรายต่อฐานข้อมูล

องค์กรจำนวนมากกำลังใช้งานฐานข้อมูลสำคัญทางธุรกิจของตนบนโครงสร้างพื้นฐานและเทคโนโลยีแบบดั้งเดิม ซึ่งก่อให้เกิดความซับซ้อนและความท้าทายด้านฐานข้อมูลหลายประการ ผู้นำด้านไอที
ในปัจจุบันต้องพยายามบริหารจัดการความซับซ้อนที่ไม่มีวันหมดสิ้นที่เกิดอยู่ในฐานข้อมูลทั้งหมดขององค์กร ความซับซ้อนนี้ทำให้ธุรกิจประสบความยุ่งยากในการบุกตลาดใหม่ ๆ การพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการที่ทันสมัย และการรับมือกับความคิดริเริ่มเชิงกลยุทธ์ต่าง ๆ เช่น โครงการที่เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสู่ดิจิทัลต่าง ๆ

Advertisement

ต้นกำเนิดของความท้าทายส่วนใหญ่เกิดจากโครงสร้างพื้นฐานแบบดั้งเดิม เกิดจากการที่โครงสร้างนั้นสร้างขึ้นจากทรัพยากรที่แยกส่วนกัน (เป็นไซโล) เช่น สตอเรจ เซิร์ฟเวอร์ เวอร์ชวลไลเซชัน ระบบเน็ตเวิร์ก และระบบความปลอดภัย การออกแบบที่แยกส่วนกันนี้ทำให้การจัดเตรียมโครงสร้างพื้นฐานของฐานข้อมูลใหม่ และชุดโครงสร้างหน่วยความจำที่จัดการไฟล์ฐานข้อมูล (database instances) ทำได้ยาก นอกจากนี้สถาปัตยกรรมแบบดั้งเดิมเหล่านี้มีจุดที่หากเกิดการล้มเหลวเพียงจุดเดียวจะทำให้ระบบทั้งหมดหยุดทำงานโดยสิ้นเชิง หรือที่เรียกว่า points of failure หลายจุด ซึ่งทำให้ระบบไอทีไม่แข็งแรง และเสี่ยงต่อการที่ระบบหยุดทำงานกระทันหันโดยไม่ได้วางแผนมาก่อน

สถาปัตยกรรมฐานข้อมูลที่เป็นไซโลก่อให้เกิดความซับซ้อนที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งส่งผลกระทบอย่างมากต่อทีมไอทีที่ขยายการทำงานอย่างยืดหยุ่นไปแล้ว ความซับซ้อนนี้ต้องการการทำงานร่วมกันอย่าง
แข็งขันระหว่างผู้เชี่ยวชาญด้านไอทีและทีมต่าง ๆ ที่ดูแลการทำงานของฐานข้อมูลที่ใช้อยู่ จึงทำให้เหลือเวลาเพียงน้อยนิดที่จะสร้างนวัตกรรมที่แท้จริงเพื่อให้สามารถตอบโจทย์การปฏิบัติตามข้อตกลงระดับการให้บริการ (SLAs) ที่เป็นเรื่องยากได้

ปัจจุบัน นอกจากความซับซ้อนของโครงสร้างพื้นฐานแล้ว ยังมีปัญหาเพิ่มขึ้นจากความท้าทายต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นโดยทั่วไปจากการใช้ฐานข้อมูล การแพตช์ การบริหารจัดการ การแก้ปัญหา และสถานการณ์นี้จะกลายเป็นสิ่งที่ไม่สามารถป้องกันได้อย่างรวดเร็วเมื่อสภาพแวดล้อมขยายใหญ่ขึ้น เกิดการโยนความรับผิดชอบระหว่างทีมต่าง ๆ เกี่ยวกับการแก้ปัญหาที่ทำให้ไม่สามารถทำตาม SLAs ได้ เพราะการติดตั้งใช้งานโครงสร้างพื้นฐานดาต้าเบสใช้เวลานานเกินไป ข้อมูลจากการศึกษาของ IDC ล่าสุดพบว่า การใช้เวลาในการบำรุงรักษามากเกินไป ส่งผลให้ 75% ของงบประมาณในการบริหารจัดการฐานข้อมูลถูกใช้เป็นค่าใช้จ่ายด้านค่าแรงงาน

สมรรถนะของฐานข้อมูลจำเป็นต้องปรับประสิทธิภาพตามการเติบโตของธุรกิจได้ แต่การที่องค์กร ไม่สามารถทำตาม SLAs ที่ต้องการประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นในช่วงที่มีการใช้งานสูงสุดได้ จะส่งผลให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์ที่ไม่ดีพอ การที่จะตอบโจทย์ความต้องการในการเพิ่มประสิทธิภาพได้นั้น โดยปกติต้องการการอัปเกรดที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ซึ่งมีค่าใช้จ่ายสูง และยังโยงใยถึงการต้องหยุดระบบเพื่องานซ่อมบำรุงที่ยืดเยื้ออีกด้วย

นอกจากนี้ การทำงานด้านฐานข้อมูลแบบแมนนวลทำให้มีแนวโน้มว่าจะเกิดข้อผิดพลาดจากการทำงานของมนุษย์ ซึ่งส่งผลให้ฐานข้อมูลสำคัญต้องหยุดทำงาน ในสภาพแวดล้อมการทำงานขององค์กร โดยเฉลี่ยแล้วมีสำเนาฐานข้อมูลแต่ละรายการ 10 สำเนา ซึ่งได้รับการจัดเก็บไว้บน SAN storage ที่มีค่าใช้จ่ายสูง การวิจัยของ IDC พบว่า 45% ถึง 60% ของความจุของสตอเรจถูกจัดสรรให้ใช้เก็บข้อมูลที่เป็นสำเนา ส่งผลให้เกิดค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับข้อมูลที่เป็นสำเนาประมาณ 56 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ในปี พ.ศ. 2563

โซลูชั่นด้านฐานข้อมูลของนูทานิคซ์

ประสิทธิภาพของฐานข้อมูล ความคล่องตัว และความพร้อมใช้ ที่มีประสิทธิภาพสูงสุด เริ่มด้วยการขจัดการทำงานหรือทรัพยากรที่เป็นไซโล และการลดภาระงานประจำวันที่เกิดจากความซับซ้อนของกระบวนการทำงาน โซลูชั่นด้านฐานข้อมูลของนูทานิคซ์ทำให้การบริหารจัดการเวิร์กโหลดทั้งหมดขององค์กรง่ายขึ้น ไม่ว่าจะเป็น แพลตฟอร์มการบริหารจัดการที่รวมศูนย์เป็นหนึ่งเดียว ทำงานได้ในคลิกเดียว การจัดการแบบอัตโนมัติ และมีความพร้อมใช้งานมากขึ้น นูทานิคซ์ช่วยแก้ปัญหาด้านโครงสร้างพื้นฐานที่เกิดจากความซับซ้อนมากมายของสถาปัตยกรรมแบบดั้งเดิม ผ่านโครงสร้างพื้นฐานไฮเปอร์คอนเวิร์จ (HCI) และบริการดาต้าเบสแอสอะเซอร์วิส (DBaaS) ซึ่งมีคุณประโยชน์ต่อมูลค่าของฐานข้อมูลในเบื้องต้นสามประการดังนี้

ลดระยะเวลาที่ลูกค้าใหม่รับรู้คุณค่าของผลิตภัณฑ์หรือบริการขององค์กร (Time to Value) และเพิ่มความคล่องตัวทางธุรกิจ

Nutanix Era มอบฟังก์ชัน DBaaS ที่มาพร้อมการจัดการฐานข้อมูลด้วยคลิกเดียว [จัดเตรียม, โคลน, แพทช์, รีเฟรช และสำรองข้อมูล] โดยใช้เวลาเพียงสองสามนาทีเท่านั้น นักพัฒนาซอฟต์แวร์จำเป็นต้องสร้างและทดสอบเทคโนโลยีอย่างรวดเร็ว และต้องพึ่งพาผู้ดูแลระบบและผู้ดูแลระบบฐานข้อมูล (DBAs) จัดสรรสภาพแวดล้อมต่าง ๆ ที่จำเป็นเพื่อสนับสนุนการสร้างและทดสอบเทคโนโลยี

นูทานิคซ์สามารถมอบความคล่องตัวที่จำเป็นต้องใช้ให้กับนักพัฒนาซอฟต์แวร์ ให้สามารถใช้ฐานข้อมูลได้อย่างรวดเร็วและตามแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุด ในบางกรณี สามารถเร่งความเร็ว
ในการใช้งานเพื่อการพัฒนาและการทดสอบสภาพแวดล้อมต่าง ๆ ได้ถึง 10 เท่า และเพิ่มประสิทธิภาพให้กับฐานข้อมูลสำคัญได้ถึง 5 เท่า เวลาที่ประหยัดได้นี้ช่วยให้ DBAs หันไปให้ความสำคัญกับโครงการอื่น ๆ ที่สอดคล้องกับความคิดริเริ่มทางธุรกิจ มากกว่าต้องมาติดหนึบอยู่กับงานประจำทั่วไป

เพิ่มเวลาทำงานและมีความปลอดภัยสูงสุด

ความพร้อมใช้และความสามารถในการปรับขยายเป็นส่วนหนึ่งของ DNA ที่รวมถึงสถาปัตยกรรมแบบเว็บ-สเกลของนูทานิคซ์ ซึ่งสามารถซ่อมแซมตัวเองได้ และมีระบบการกู้คืนเชิงรุก ความสามารถในการผสานการทำงานเข้าด้วยกัน ความเป็นอัตโนมัติ แอปพลิเคชันและโครงสร้างพื้นฐานที่ปลอดภัย การเข้ารหัสข้อมูลที่ไม่ค่อยได้ใช้งาน (data-at-rest) และการปิดบังฐานข้อมูล (database masking) มีรวมอยู่ในนูทานิคซ์ และพร้อมให้ใช้งานเพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยโดยไม่ลดประสิทธิภาพการทำงาน การแพทช์ฐานข้อมูลโดยอัตโนมัติและเป็นระบบ ช่วยให้มั่นใจว่าการแพทช์ทั้งหมดจะได้รับการติดตั้งใช้งานหลังจากการทดสอบ และจะไม่มีฐานข้อมูลใดต้องอยู่ในสภาพเสี่ยงต่อการโจมตีที่รู้ที่มาแล้ว และหลีกเลี่ยงการต้องหยุดระบบเนื่องจากต้องทำการแพทช์รอยรั่วที่ยังไม่ได้ทำ แม้การอัปเกรดและการสำรองส่วนประกอบต่าง ๆ ขององค์กรเป็นประจำจะเป็นสิ่งจำเป็น แต่บางครั้งก็เป็นเรื่องยากที่จะต้องแลกกับการที่ธุรกิจต้องหยุดชะงักชั่วคราวเพื่อทำการนั้น โซลูชั่นด้านฐานข้อมูลของนูทานิคซ์ช่วยให้องค์กรไม่ต้องเผชิญกับสถานการณ์นี้ ด้วยการทำให้การดำเนินงานด้านไอทีเป็นไปด้วยความเรียบง่ายและไม่สะดุด ซึ่งช่วยให้ธุรกิจมีช่วงเวลาให้บริการมากที่สุด และช่วยให้ใช้ข้อมูลได้อย่างยืดหยุ่น ความราบรื่นของการอัปเกรด การแพทช์ และการใช้ข้อมูลอย่างยืดหยุ่นเพื่อป้องกันไม่ให้ระบบล่ม หมายถึงดาวน์ไทม์น้อยสำหรับอินสแตนซ์ระดับ 0 & 1 ส่งผลให้ดาวน์ไทม์ลดลงมากถึง 85% ทั้งนี้วัตถุประสงค์หลักในการบริหารจัดการฐานข้อมูล คือ การทำธุรกิจขององค์กรดำเนินไปอย่างราบรื่น

ประสิทธิภาพในการดำเนินงาน และลดค่าใช้จ่าย

หัวใจหลักของลูกค้าทุกรายคือ จะลดค่าใช้จ่ายในระยะยาวได้อย่างไร โซลูชั่นด้านฐานข้อมูลของนูทานิคซ์สามารถขจัดค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับข้อมูลที่เป็นสำเนาที่สิ้นเปลือง ด้วยการลดค่าใช้จ่ายในการลงทุนด้านสตอเรจ ได้มากถึง 6 เท่า ด้วยการโคลนแบบ zero-byte และการทำ
สแน็ปช็อตที่ประหยัดพื้นที่ที่ Era มีให้ สามารถลดค่าใช้จ่ายด้านไลเซนส์ลงได้ถึง 2 เท่า ด้วยการรวมสภาพแวดล้อมฐานข้อมูลที่เป็นไซโลหลายรายการไว้ด้วยกันบนแพลตฟอร์มเดียวและบริหารจัดการได้ทั้งหมดโดยใช้ควาพยายามและทรัพยากรน้อยลง นอกจากนี้ยังมีประโยชน์อื่นอีกมากจากการบริหารจัดการที่ง่าย ด้วยการใช้เวลาในการทำงานในแต่ละวันน้อยลง รวมถึงความยืดหยุ่น (ดาวน์ไทม์ลดลง) และมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทำให้พนักงานมีผลงานมากขึ้น โซลูชั่นด้านฐานข้อมูลของนูทานิคซ์มอบประโยชน์ที่เป็นจริง จับต้องได้ให้กับลูกค้า ในแง่ของความคล่องตัวมากขึ้น, time to value เร็วขึ้น และต้นทุนรวมต่ำลง ผลการศึกษาที่จัดทำโดย IDC4 ซึ่งสำรวจว่าโครงสร้างพื้นฐานของนูทานิคซ์มีประโยชน์มากน้อยเพียงใด พบว่า

  • ต้นทุนรวมลดลง 62% โดยมีระยะเวลาคืนทุน 7 เดือน ทั้งนี้ประโยชน์ที่เด่นชัดที่สุดคือ ความสามารถในการผลิตดีขึ้น ความคล่องตัวมากขึ้น และลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน
  • ระบบของนูทานิคซ์ลดเวลาในการจัดการได้มากกว่า 60%
  • ลดดาวน์ไทม์ที่ไม่ได้วางแผนไว้ได้ถึง 85%
  • ลูกค้าสามารถตอบสนองความต้องการทางธุรกิจใหม่ ๆ ได้อย่างคล่องตัว โดยสามารถปรับใช้การประมวลผลใหม่ได้เร็วขึ้นถึง 73% สร้างสตอเรจใหม่ได้เร็วขึ้นถึง 68% และใช้เวลาน้อยลงเกือบ 40% ในการปรับใช้ไฮเปอร์ไวเซอร์ด้วยการดำเนินงานด้านดาต้าเบสที่
    เรียบง่าย (อัตโนมัติ) ภายในหนึ่่งคลิก เพื่อปรับใช้ จัดการ และสนับสนุนสภาพแวดล้อม
    ด้านดาต้าเบสทั้งหมด
QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image