บทความพิเศษ
โดย รองศาสตราจารย์ ดร.ภูมินทร์ บุตรอินทร์
ธุรกิจการให้บริการ Over the Top TV หรือ OTT TV ในประเทศไทยเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องในปี 2565 โดยเฉพาะช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 ซึ่งจากผลสำรวจโดย The Trade Desk และ KANTAR ในเดือนพฤศจิกายน 2565 ยังระบุอีกด้วยว่า คนไทย 92% ใช้งาน OTT TV มากกว่า 1 แพลตฟอร์ม ซึ่งสอดคล้องกับสถานการณ์การแข่งขันระหว่างผู้ให้บริการ OTT TV ในไทยที่ดุเดือดมากยิ่งขึ้น
ข้อมูลจาก สำนักนโยบายและวิชาการกระจายเสียงและโทรทัศน์ และ กสทช. ชี้ให้เห็นด้วยว่า คนไทยใช้บริการ OTT TV ในรูปแบบผู้บอกรับสมาชิก (SVOD) เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด โดยในปี 2564 มีบัญชีผู้ใช้บริการในรูปแบบดังกล่าวมากถึง 6.03 ล้านบัญชี และคาดไว้ว่าในสิ้นปี 2565 จะมีผู้ใช้บริการเพิ่มขึ้นแตะที่ 8.99 ล้านบัญชี โดยในปี 2566 การเติบโตดังกล่าวอาจจะชะลอตัวกว่าช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาเนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ผ่อนคลายลง และทำให้ผู้คนอาจออกไปใช้ชีวิตและทำกิจกรรมนอกบ้านมากขึ้น
ทั้งนี้ รูปแบบของการให้บริการ OTT TV ในไทยนั้น ทางสำนักนโยบายและวิชาการกระจายเสียงและโทรทัศน์ (วส.) สำนักงาน กสทช. ได้แบ่งผู้ให้บริการ OTT TV ออกเป็น 4 รูปแบบ ได้แก่
1. Subscription Video on Demand (SVOD) เป็นรูปแบบการหารายได้จากการเก็บค่าบอกรับสมาชิก โดยผู้ใช้สามารถรับชมคอนเทนต์รายการที่ใด เวลาใดก็ได้ตามต้องการ
2. Subscription Linear (SLIN) เป็นรูปแบบการหารายได้จากการให้บริการรับชมคอนเทนต์ออนไลน์ แบบมีผังรายการ โดยผู้ใช้จะรับชมคอนเทนต์ได้แบบสด ๆ ตามเวลาที่ออกอากาศตามผังรายการที่กำหนด
3. Digital Rental เป็นรูปแบบการหารายได้จากการให้บริการคอนเทนต์แบบครั้งเดียวจบ โดยผู้ใช้จะจ่ายค่าบริการเป็นรายครั้งเมื่อรับชมคอนเทนต์ และ
4. Election Sell Through (EST) เป็นรูปแบบการหารายได้จากค่าบริการดาวน์โหลดเนื้อหา โดยผู้ใช้จะจ่ายค่าบริการ 1 ครั้งต่อการดาวน์โหลด 1 เนื้อหา ซึ่งคอนเทนต์ดังกล่าวจะสามารถเก็บไว้รับชมกี่ครั้งก็ได้ ในเวลาใดก็ได้ตามต้องการ
ที่ผ่านมา บอร์ด กสทช. รับทราบปัญหาผู้ให้บริการ OTT ที่ใช้โครงข่ายมือถือ สร้างการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม ยอมรับอำนาจควบคุมยังไปไม่ถึง แต่กำลังศึกษาเพิ่มเติมเพื่อหาทางแก้ปัญหา โดย กสทช. ตระหนักถึงปัญหาความเป็นธรรมในการแข่งขัน ต่อกรณีที่ผู้ให้บริการแบบ OTT (Over the Top) โดยเฉพาะแพลตฟอร์มวิดีโอสตรีมมิง ซึ่งให้บริการและประกอบธุรกิจอยู่บนโครงข่ายมือถือ เมื่อลูกค้ามีการใช้งานเป็นจำนวนมาก ถือเป็นภาระให้กับผู้ให้บริการมือถือที่ต้องลงทุนขยายสัญญาณเพิ่มเติมรองรับดังกล่าว
อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่า กสทช.สามารถกำกับดูแลได้เฉพาะบริการที่อยู่ภายใต้อำนาจควบคุมเท่านั้น ซึ่งจากข้อมูลของสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (ETDA) เมื่อปี 2563 ระบุผู้ให้บริการ OTT รายใหญ่ที่ครองตลาดผู้ชมในประเทศไทย 10 อันดับแรก ได้แก่ YouTube, Netflix, LINE TV, JOOK, Spotify, Viu, TrueID, AIS Play, WeTV และ SoundCloud โดย 8 ใน 10 ราย เป็นผู้ให้บริการจากต่างประเทศ โดยผู้ให้บริการ OTT ในประเทศไทยบางรายก็ยังไม่ได้เข้าสู่ระบบใบอนุญาต
นอกจากนี้ กสทช. ยังได้รับการร้องเรียนจากผู้ประกอบการวิทยุและโทรทัศน์เช่นกัน ในฐานะอยู่ใต้กำกับดูแลของ กสทช.ต้องอยู่ภายใต้กฎระเบียบเป็นจำนวนมาก แต่ผู้ให้บริการ OTT TV ไม่ถูกควบคุมด้วยกฎระเบียบใดๆ ทำให้เกิดภาวะการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม ไม่ต้องลงทุนมาก เหมือนผู้ประกอบการ ดิจิทอล ทีวี แต่อย่างใด ทั้งนี้ ใบอนุญาตประกอบกิจการโทรทัศน์ ของผู้ประกอบการ ดิจิทอล ทีวี ทั้งหมด จะหมดอายุในปี 2573 ซึ่งอาจไม่มีผู้ใดขอรับใบอนุญาตอีกต่อไป
สืบเนื่องจากพระราชบัญญัติการประกอบกิจการกระจายเสียงและ กิจการโทรทัศน์ พ.ศ. 2551 และพระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์และกิจการ โทรคมนาคม พ.ศ. 2553 และฉบับแก้ไขเพิ่มเติม ได้กำหนดอำนาจหน้าที่ คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคม แห่งชาติ (กสทช.) ในการกำกับดูแลการประกอบกิจการกระจายเสียงและ กิจการโทรทัศน์เพื่อให้เกิดการแข่งขันอย่างเสรีและเป็นธรรมและป้องกัน มิให้มีการกระทำอันเป็นการผูกขาด ลด หรือจำกัดการแข่งขัน ให้เป็นธรรมกับทุก ภาคส่วน ซึ่งมาตรการกำกับดูแลที่เกี่ยวข้องกับ OTT มีหลายมิติที่เกี่ยวข้อง โดยเรื่องหลักที่เป็น ที่กล่าวถึงทั่วไปคือการกำกับดูแลด้านเนื้อหา ใบอนุญาต โครงข่าย และมาตรการสนับสนุน OTTถูกกำกับดูแลในเรื่องของเนื้อหาเป็นหลักอย่างไรก็ตามการกำกับดูแลเนื้อหาบน OTT จะเคร่งครัดน้อยกว่าการกำกับดูแลเนื้อหาบนโทรทัศน์แบบดั้งเดิม แต่อย่างน้อยก็ต้องไม่ผิดกฎหมายที่ใช้บังคับในประเทศนั้นๆ บางประเทศอาจเลือกใช้ระบบ ใบอนุญาตและ/หรือมีมาตรการสนับสนุนบริการ OTT นอกจากนี้ยังมีมาตรการ Net Neutrality บังคับใช้กับผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตเพื่อให้ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงเนื้อหาที่ถูกกฎหมายได้อย่างเท่าเทียม
นโยบายการกำกับดูแล OTT ในด้านใบอนุญาต มีการศึกษาจากต่างประเทศ ประเทศสิงคโปร์ ประเทศเกาหลีใต้และสหราชอาณาจักร การกำกับดูแล OTT ในด้านใบอนุญาต และการขอใบอนุญาตมีลักษณะที่แตกต่างกันไป แต่ใน ประเทศไทยยังคงหารือกับ ผู้รับใบอนุญาต และ ผู้ให้บริการ OTT ว่าจะตกลงกันได้อย่างไรในการกำกับดูแล เช่น การลงทะเบียน หรือ ให้มาขอรับใบอนุญาต ทั้งนี้ ผู้เขียนเห็นว่า ในสังคมประเทศไทย ที่การให้บริการแบบ OTT เพิ่งเริ่มต้นอย่างแพร่หลายนั้น ต้องทำความเข้าใจกับผู้ให้บริการโครงข่าย และ ช่องรายการ ผู้ผลิตเนื้อหา ให้กับ ผู้ให้บริการ OTT เพื่อช่วยกันในการกำกับดูแลเนื้อหาที่จะไปออกอากาศผ่าน OTT รวมถึงการดำเนินการให้อยู่ภายใต้บังคับของกฎหมายไทยที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการโฆษณาบน OTT และ เนื้อหาสาระที่เหมาะสม ทั้งนี้ ยังไม่ได้กล่าวถึงการที่รัฐต้องสูญเสียรายได้ เพราะหากเป็นการให้บริการจาก ผู้รับใบอนุญาตที่ได้รับอนุญาตจาก กสทช. รัฐก็สามารถกำกับดูแลได้อย่างเต็มที่และ สามารถจัดเก็บรายได้ จากค่าธรรมเนีบมใบอนุญาตราบปีเข้ารัฐได้ ก็ต้องเร่งให้ กสทช. หาแนวทางในการกำกับดูแลผู้ให้บริการได้แบบสมดุลกับทุกภาคส่วน
แม้ว่าในปัจจุบันจะยังไม่มีพันธะกรณีระหว่างประเทศที่มากำหนดให้แต่ละประเทศต้องดำเนินการในการกำกับดูแลในเรื่องดังกล่าว แต่จากผลการศึกษาวิจัย(อ้างอิงผลงานวิจัย ศูนย์บริการวิชาการแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและ งานวิจัยจำนวนหนึ่งของ กสทช) จำนวนมากก่อนหน้านี้ได้ชี้ชัดไปอย่างชัดเจนแล้วว่าควรจะต้องมีการกำกับดูแลไม่ว่ารูปแบบใดรูปแบบหนึ่งเพราะเราต้องรักษาผลประโยชน์ของประชาชนภายในรัฐของตนด้วย เพื่อให้เกิดความสมดุลย์ระหว่างประโยชน์สาธารณะและประโยชน์ของผู้ประกอบการที่ประกอบการและสามารถแข่งขันได้อย่างเสรีและเป็นธรรมในประเทศไทย