เหลียง เหวินเฟิง ผู้ก่อตั้งบริษัท DeepSeek พลิกเกม AI
เหลียง เหวินเฟิง – “ตอนที่เราเจอเขาครั้งแรก เขาเป็นหนุ่มเนิร์ดที่มีทรงผมแย่มากๆ พูดถึงแต่เรื่องการสร้างคลัสเตอร์ชิป 10,000 ชิ้นเพื่อฝึกโมเดลของเขาเอง เราไม่ได้จริงจังกับเขาเลย” หุ้นส่วนธุรกิจคนหนึ่งของเหลียงกล่าว
ทว่าวันนี้ชื่อของ เหลียง เหวินเฟิง (Liang Wenfeng) วัย 40 ปี เป็นผู้ก่อตั้งบริษัท DeepSeek กลายเป็นชื่อที่ถูกค้นหามากที่สุด หลังจากที่ DeepSeek ได้เปิดตัวแอปพลิเคชัน AI ที่กลายเป็นแอพฟรียอดนิยมอันดับ 1 ในสหรัฐอเมริกา แซงหน้า ChatGPT ส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นสหรัฐฯ โดยเฉพาะหุ้นเทคโนโลยี เช่น เอ็นวิเดีย (Nvidia) บริษัทผู้ผลิตชิปรายใหญ่ของสหรัฐ ฯ มูลค่าตามราคาตลาดลดลงไปแล้วเกือบ 6 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 20,305,798 ล้านบาท ซึ่งเป็นมูลค่าการร่วงที่สูงที่สุดในประวัติศาสตร์
แบ็คกราวน์เดิมของเหลียง มาจากธุรกิจการเงิน เขาจบการศึกษา ระดับปริญญาตรี สาขาวิศวกรรมข้อมูลอิเล็คทรอนิคส์ และระดับปริญญาโท สาขาวิศวกรรมข้อมูลและสื่อสาร จากมหาวิทยาลัยเจ้อเจียง ในปี 2015 เขาร่วมก่อตั้งกองทุนเฮดจ์ฟันด์ ประเภท Quantitative Hedge ชื่อ FundHigh-Flyer ที่ใช้ AI สำหรับกลยุทธ์การซื้อขาย โดยใช้อัลกอริทึมเพื่อคาดการณ์แนวโน้มตลาดและตัดสินใจ ซื้อขาย หลักทรัพย์ต่าง ๆ โดยอัตโนมัติ
High-Flyer Quant เพิ่มสินทรัพย์ภายใต้การบริหารมากกว่าสิบเท่าในช่วงสี่ปี จาก 1 พันล้านหยวนในปี 2016 เป็นมากกว่า 10 พันล้านหยวนในปี 2019 ตามรายงานของสื่อท้องถิ่นและข้อมูลจากเว็บไซต์ของบริษัท
ในปี 2021 เหลียงเริ่มซื้อหน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) ของ Nvidia นับพันชิ้นสำหรับโครงการ AI ส่วนตัว ในขณะที่ยังบริหารกองทุน High-Flyer คนวงในอุตสาหกรรมจึงมองว่าเป็นการกระทำแปลกๆ ของมหาเศรษฐีที่กำลังหางานอดิเรกใหม่
“เขาไม่สามารถอธิบายวิสัยทัศน์ได้นอกจากพูดว่า ผมอยากสร้างสิ่งนี้ และมันจะเปลี่ยนเกมไปเลย เราคิดว่าสิ่งนี้เป็นไปได้แค่กับบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง ByteDance เจ้าของ TikTok และ Alibaba เท่านั้น” คู่ค้ากล่าว

สถานะของเหลียงในฐานะคนนอกวงการ AI กลับกลายเป็นจุดแข็งที่ไม่คาดคิด เพราะเมื่อบริหาร High-Flyer เขาสร้างความมั่งคั่งด้วยการใช้ AI และอัลกอริทึมเพื่อระบุรูปแบบที่อาจส่งผลต่อราคาหุ้น ทีมงานเชี่ยวชาญการใช้ชิป เอ็นวิเดีย ในการทำกำไรจากการซื้อขายหุ้น ในปี 2023 เขาเปิดตัว DeepSeek โดยประกาศเจตนารมณ์ที่จะพัฒนา AI ให้เทียบเท่าระดับมนุษย์
หลังจากวอชิงตันสั่งห้าม เอ็นวิเดีย ส่งออกชิปที่ทรงพลังที่สุดไปยังจีน บริษัท AI ในประเทศถูกบังคับให้หาวิธีใหม่ๆ ในการเพิ่มประสิทธิภาพการประมวลผลของชิปในประเทศที่มีจำกัด ซึ่งเป็นปัญหาที่ทีมของเหลียงรู้วิธีแก้ไขอยู่แล้ว
“วิศวกรของ DeepSeek รู้วิธีปลดล็อกศักยภาพของ GPU เหล่านี้ แม้ว่าจะไม่ใช่เทคโนโลยีล่าสุดก็ตาม” นักวิจัย AI ที่ใกล้ชิดกับบริษัทกล่าว
คนวงในอุตสาหกรรมกล่าวว่าการที่ DeepSeek มุ่งเน้นการวิจัยเพียงอย่างเดียวทำให้เป็นคู่แข่งที่น่ากลัว เพราะยินดีที่จะแบ่งปันความก้าวหน้าแทนที่จะปกป้องไว้เพื่อผลประโยชน์ทางการค้า DeepSeek ไม่ได้ระดมทุนจากภายนอกหรือพยายามสร้างรายได้จากโมเดลของตนอย่างมีนัยสำคัญ
“DeepSeek ยังพร้อมจ่ายเงินเดือนสูงเพื่อดึงดูดคนเก่งที่สุด โดยใช้รายได้จากการเทรดเฮดจ์ฟันด์เพื่อจ่ายเงินเดือนสูงให้กับคนเก่งด้าน AI ที่ดีที่สุด เช่นเดียวกับ ByteDance เจ้าของ TikTok, DeepSeek เป็นที่รู้จักในการให้ค่าตอบแทนสูงที่สุดแก่วิศวกร AI ในจีน โดยมีพนักงานประจำอยู่ที่สำนักงานในหางโจวและปักกิ่ง
“สำนักงานของ DeepSeek ให้ความรู้สึกเหมือนมหาวิทยาลัยสำหรับนักวิจัยจริงจัง” หุ้นส่วนธุรกิจกล่าว “ทีมเชื่อในวิสัยทัศน์ของเหลียง: ที่จะแสดงให้โลกเห็นว่าชาวจีนสามารถสร้างสรรค์และสร้างบางสิ่งจากศูนย์ได้”
DeepSeek ยังใช้โมเดลแบบเปิด (open-source) ต่างจาก OpenAI โดยเหลียงเชื่อว่าการแบ่งปันความรู้จะช่วยดึงดูดคนเก่งและสร้างวัฒนธรรมนวัตกรรม จนทำให้เขากลายเป็นวีรบุรุษของจีนที่สามารถท้าทายการผูกขาดเทคโนโลยี AI ของสหรัฐฯ
“ผมเชื่อว่านวัตกรรมนั้น เหนือสิ่งอื่นใด” เขากล่าว “ทำไม ซิลิคอนแวลลีย์ ถึงมีนวัตกรรมมากมาย? เพราะพวกเขากล้าที่จะลอง เมื่อ ChatGPT เปิดตัว จีนขาดความมั่นใจในการวิจัยระดับแนวหน้า ตั้งแต่นักลงทุนไปจนถึงบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ หลายคนรู้สึกว่าช่องว่างนั้นกว้างเกินไปและเลือกที่จะมุ่งเน้นการประยุกต์ใช้งานแทน แต่นวัตกรรมต้องการความมั่นใจ และคนรุ่นใหม่มักจะมีความมั่นใจมากกว่า” เหลียง กล่าว
ก่อนหน้านี้ในวันที่ 20 มกราคม 2568 เหลียง เหวินเฟิง เป็นผู้นำด้าน AI เพียงคนเดียวที่ได้รับเลือกให้เข้าร่วมการประชุมนักธุรกิจกับ นายหลี่ เฉียง นายกรัฐมนตรี ผู้นำอันดับสองของประเทศ เป็นเข้าร่วมการประชุมพร้อมกับผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมที่ได้รับเลือก ในสาขาเทคโนโลยี การศึกษา วิทยาศาสตร์ วัฒนธรรม สุขภาพ และกีฬา เพื่อเสนอความคิดเห็นและข้อเสนอแนะต่อร่างรายงานการทำงานของรัฐบาลต่อหลี่ ตามรายงานของสำนักข่าวซินหัว
แต่นอกเหนือจากความสำเร็จล่าสุดของสตาร์ทอัพ การรวบรวมความคิดเห็นของเหลียงในการประชุมยืนยันว่า AI เป็นลำดับความสำคัญเชิงกลยุทธ์ระดับชาติ ท่ามกลางสงครามเทคโนโลยีที่ทวีความรุนแรงระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีน ซึ่งเป็นสองเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดของโลก ตลาด AI ของจีนคาดว่าจะมีมูลค่า 5.6 ล้านล้านหยวน (765 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) ภายในปี 2030 ตามรายงานของ China International Capital Corp (CICC) ซึ่งเป็นหน่วยงานลงทุนที่รัฐบาลสนับสนุน
ในเดือนกันยายนปีที่แล้ว CICC ประเมินว่าอุตสาหกรรม AI ของจีนอาจเห็นการลงทุนมูลค่า 1.4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐในช่วงหกปีนับจากปี 2025
