“เสี่ยวมี่” รุกตลาดไทย นำนวัตกรรมสู่ผู้บริโภค ในราคาที่เอื้อมถึง

REUTERS

หนึ่งในแบรนด์มือถือจากจีน ที่ถือว่ากำลังมาแรงแซงทางโค้ง นั่นคือมือถือแบรนด์ “เสี่ยวมี่” ที่ถือว่ากำลังมาแรง ด้วยการทำการตลาดที่แตกต่างจากแบรนด์อื่น คือเน้นไปที่การทำตลาดออนไลน์เป็นหลัก ไม่นำเงินไปใช้กับการทำการตลาดอย่างอื่น ทำให้ต้นทุนของเครื่องน้อยกว่าแบรนด์อื่นๆ นำไปสู่การทำให้เครื่องราคาไม่สูงมาก แม้สเปกจะสูง เสี่ยวมี่ได้ก่อตั้งขึ้นตั้งแต่ปี 2553 โดย นายเหลย จุน ที่มีวิสัยทัศน์ในการสร้าง “นวัตกรรมสำหรับทุกคน” ซึ่ง

เสี่ยวมี่เชื่อมั่นว่าทุกคนควรจะสามารถเข้าถึงผลิตภัณฑ์คุณภาพสูง ที่สร้างสรรค์ด้วยเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย

เสี่ยวมี่ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ.2553 โดย นายเหลย จุน ที่มีวิสัยทัศน์ในการสร้าง “นวัตกรรมสำหรับทุกคน” ซึ่งเสี่ยวมี่เชื่อมั่นว่าทุกคนควรสามารถเข้าถึงผลิตภัณฑ์คุณภาพสูง ที่สร้างสรรค์ด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัย โดยเสี่ยวมี่ได้พัฒนาฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ และบริการทางอินเตอร์เน็ตที่โดดเด่นเพื่อมี่แฟน (Mi fans) โดยรวบรวมความคิดเห็นจากมี่แฟนเข้าเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาผลิตภัณฑ์ ได้แก่สมาร์ทโฟนในตระกูลมี่ (Mi) และเรดมี่ (Redmi) รวมถึงมี่ทีวี และกล่องรับสัญญาณ มี่เราเตอร์ และผลิตภัณฑ์ในกลุ่มมี่อีโคซิสเต็ม (Mi Ecosystem) เช่น ผลิตภัณฑ์สำหรับบ้านอัจฉริยะ (smart home) ผลิตภัณฑ์เทคโนโลยีสำหรับสวมใส่ และอุปกรณ์เสริมต่างๆ ปัจจุบันเสี่ยวมี่มีเครือข่ายในกว่า 60 ประเทศและภูมิภาค อีกทั้งกำลังขยายไปยังภูมิภาคอื่นๆ ทั่วโลก เพื่อก้าวสู่การเป็นแบรนด์ระดับโลก

เสี่ยวมี่เพิ่งเข้ามาทำตลาดในประเทศไทยอย่างจริงจังเมื่อปีที่ผ่านมา ปัจจุบันมี นายจอห์น เฉิน ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายขายประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งได้มาเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับภาพรวมของตลาดเสี่ยวมี่ในประเทศไทยให้นักข่าวไทยได้รับทราบกัน

Advertisement
นายจอห์น เฉิน

นายเฉินกล่าวว่า เข้ามาทำงานกับเสี่ยวมี่ได้ 2 ปีแล้ว ซึ่งถือว่าประสบความสำเร็จอย่างมาก โดยเสี่ยวมี่ได้เข้าไปลงทุนในอินเดีย จนตอนนี้เสี่ยวมี่ถือเป็นที่หนึ่งในอินเดียแล้ว ซึ่งเสี่ยวมี่เพิ่งจะมีการศึกษาตลาดในเอเชียตะวันออก

เฉียงใต้ 5 ประเทศ คือ ฟิลิปปินส์ พม่า กัมพูชา ไทย และลาว ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นประเทศที่เสี่ยวมี่ยังใหม่อยู่ และต้องมีการลงทุน อย่างประเทศไทยก็เพิ่มเข้ามาทำได้ 5-6 เดือนเท่านั้น แม้จะเป็นตลาดใหม่ แต่เสี่ยวมี่ก็มีแผนที่จะลงทุนอย่างมากในกลุ่มนี้ และเห็นแนวโน้มการเติบโตที่ดีในกลุ่มนี้

นายเฉินกล่าวว่า สิ่งที่ต้องทำลำดับแรกๆ คือเรื่องการรีแบรนด์ของเสี่ยวมี่ เพื่อให้ทุกคนในประเทศรู้สึกเพลิดเพลินกับมือถือที่สามารถซื้อหามาได้ โดยเสี่ยวมี่จะนำนวัตกรรมมาสู่ทุกคน และนำเทคโนโลยีล่าสุดให้ทุกคนได้ใช้ในราคาที่เอื้อมถึง

Advertisement

สำหรับกลยุทธ์ในการทำตลาดของเสี่ยวมี่ในประเทศไทยนั้น นายเฉินกล่าวว่า สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการนำนวัตกรรมสู่ทุกคน สร้างฐานแฟนของเสี่ยวมี่ขึ้นมา เป็น “มี่แฟน” สร้างเพื่อน สร้างชุมชนขึ้นมา มีทีมที่คอยดูแลแฟนๆ ของเสี่ยวมี่ เพื่อให้มั่นใจได้ว่าผู้ใช้ทุกคนจะได้รับการดูแล และมีคนคอยรับฟังความเห็นของแฟนๆ ของเสี่ยวมี่

“มีน้อยแบรนด์มากที่ผู้ใช้จะสามารถพูดคุยกับวิศวกรหรือนักพัฒนาได้โดยตรง และสามารถเห็นพัฒนาการต่างๆ ได้ ผู้ใช้ยังสามารถแนะนำเกี่ยวกับอุปกรณ์ที่ใช้ได้ ซึ่งถือเป็นความยืดหยุ่นของเสี่ยวมี่” นายเฉินกล่าว

สิ่งที่ต้องทำต่อมาคือ การโฟกัสไปที่ธุรกิจออนไลน์ อีคอมเมิร์ซ เพราะการขายของเสี่ยวมี่มาจากอีคอมเมิร์ซ ซึ่งในส่วนของประเทศไทยนั้น เสี่ยวมี่ก็มีพาร์ตเนอร์ที่แข็งแกร่งด้านอีคอมเมิร์ซ อย่าง ลาซาด้า ช้อปปี้ และอีเลฟเว่นสตรีท ที่ช่วยกระจายสินค้าของเสี่ยวมี่ได้ นอกจากนี้ เสี่ยวมี่เองก็ยังมีการทำตลาดด้วยการออกแบบรุ่นพิเศษขายเฉพาะช่องทางออนไลน์ หรืออาจจะมีการตั้งราคาพิเศษสำหรับขายบนออนไลน์โดยเฉพาะ

ซึ่งเหตุผลที่เชื่อในการทำตลาดแบบอีคอมเมิร์ซ ก็เพราะเป็นช่องทางที่ถือว่ามีประสิทธิภาพสูง และทำให้เสี่ยวมี่สามารถตัดผู้เล่นตรงกลางออกได้หมด ทำให้สามารถนำเสนอสินค้าสู่ผู้บริโภคได้โดยตรง

กลยุทธ์ข้อต่อไป คือ การสร้างร้านค้าปลีกแบบใหม่ ที่เสี่ยวมี่จะนำประสบการณ์ของผู้บริโภคในตลาดออนไลน์มาปรับใช้กับตลาดออฟไลน์ คือการนำมาเสนอที่หน้าร้าน ซึ่งปัจจุบันร้านมี่สโตร์ในไทยมีอยู่ 4 ร้าน คือ ที่อิมพีเรียลสำโรง, ซีคอนสแควร์ บางแค, เมกาบางนา และพันธุ์ทิพย์พลาซ่า ส่วนที่เดอะมอลล์บางกะปิ น่าจะเปิดได้เร็วๆ นี้ โดยตั้งเป้าไว้ว่าปีนี้จะเปิดร้านที่เป็นมี่สโตร์ให้ได้ 100 ร้าน ในจำนวนนี้จะเป็นร้านที่ได้รับการรับรองจากเสี่ยวมี่จำนวน 20-25 ร้าน ส่วนที่เหลือจะเป็นส่วนของพรีเฟอร์พาร์ตเนอร์ที่จะสามารถวางขายสินค้าของแบรนด์อื่นได้ และจะมีการขยายร้านไปตามต่างจังหวัดต่อไป

นอกจากนี้ ก็ยังมีแผนที่จะเพิ่มช่องทางจัดจำหน่ายผ่านเชนสโตร์ทั้งหลาย อย่างเจมาร์ท หรือทีจีโฟน ซึ่งปัจจุบันเจมาร์ทมีอยู่ 20 แห่ง และปีนี้คาดว่าจะเพิ่มเป็น 60 แห่ง ส่วนเชนสโตร์อื่นๆ ยังอยู่ระหว่างการพิจารณา

“เราเลือกที่จะทำงานกับทุกๆ คน ที่มองเห็นไปในทางเดียวกัน ทำงานร่วมกันได้” นายเฉินกล่าว และว่า ถือเป็นการเปิดร้านขายที่มากที่สุดในภูมิภาคนี้ ซึ่งเป็นการแสดงให้เห็นว่าเสี่ยวมี่ให้ความสำคัญกับตลาดไทยอย่างมาก

เมื่อพูดถึงเรื่องของสินค้าของเสี่ยวมี่แล้ว ก็ไม่ได้มีแค่มือถือเท่านั้น หากแต่ยังมีสินค้าตัวอื่นๆ และผลิตภัณฑ์ในกลุ่มมี่อีโคซิสเต็ม ที่ก็ต้องขึ้นอยู่กับว่าร้านค้าที่จะไปวางจำหน่ายนั้นมีพื้นที่เท่าไหร่

ในส่วนของมือถือนั้น ก็ต้องบอกว่า จุดเด่นของเสี่ยวมี่คือเรื่องของราคา ที่หากเปรียบเทียบสเปกเดียวกันกับแบรนด์อื่นๆ จะพบว่าของเสี่ยวมี่ราคาถูกกว่า อย่าง เรดมี่ 5 เอ ซึ่งเป็นเครื่องในระดับ เอ็นทรี เลเวล ราคาเครื่องอยู่ที่ประมาณ 3 พันกว่าบาท หากเทียบได้กับแบรนด์อื่นที่สเปกเดียวกัน ก็จะขายที่ประมาณ 5,000 บาท

นอกจากนี้ ก็ยังมีรุ่นที่ราคาสูงขึ้นอีกนิด คือรุ่น เรดมี่ 5 พลัส กับ เรดมี่ 5 ที่เปิดตัวแล้วในจีน โดยรุ่น เรดมี่ 5 ราคาอยู่ที่ประมาณ 5,000 บาท ส่วนรุ่น 5 พลัส ราคาอยู่ที่ประมาณ 7 พันบาท และคาดว่าจะนำมาขายในไทยได้เร็วๆ นี้

เหตุที่โฟกัสที่ราคาต่ำกว่าหมื่นลงมา เพราะเสี่ยวมี่อยากนำเสนอคุณค่าของมือถือ โดยดึงสินค้าราคาสูงให้กลับมาอยู่ในราคาไม่ถึง 10,000 บาท

“เรามองว่าแบรนด์อื่นขายในราคาที่สูง แต่เรานำเทคโนโลยีมาถึงทุกคน ให้ทุกคนสามารถจับต้องได้ เป็นการสะท้อนวิสัยทัศน์ของเสี่ยวมี่ ที่ต้องการนำเทคโนโลยีขั้นสูงมาให้ทุกคนได้ใช้กัน” นายเฉินกล่าว และว่า เป้าหมายที่อยากบอกไว้ก็คือ ทำให้ทุกคนเข้าใจ ตระหนักรู้ว่าไม่ต้องจ่ายเงินมากสำหรับการซื้อมือถือมาเพื่อใช้งาน และทำให้ลูกค้ามั่นใจได้ว่าจะได้สิ่งที่ดีและราคาที่เหมาะสม

“คุณค่าของเสี่ยวมี่ก็คือ การนำมือถือที่ดีให้ทุกคนได้ใช้กัน” นายเฉินกล่าวทิ้งท้าย

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image