“ยรรยง มุนีมงคลทร” กับการเติบใหญ่ของ “อิงค์เจ็ท เอปสัน” ในกลุ่มองค์กรธุรกิจ

โลกของงานพิมพ์ที่ปัจจุบันหลายคนอาจจะมองว่า “ซบเซาลง” มีการพิมพ์ที่น้อยลง โดยเฉพาะการพิมพ์ภาพ เนื่องจากพฤติกรรมของผู้คนที่เปลี่ยนไป ถ่ายภาพอย่างเดียวไม่พิมพ์กัน หรือแม้แต่ตามองค์กรต่างๆ ก็พยายามที่จะให้มีการพิมพ์กระดาษออกมาให้น้อยที่สุด เพื่อเข้าสู่ยุคของการ “ไร้กระดาษ” หากแต่ความเป็นจริงแล้ว งานพิมพ์เอกสารหรือแม้แต่ภาพถ่าย ก็ยังคงเป็นตลาดที่มีโอกาสในการเติบโตอยู่ เพียงแต่เตบโตในธุรกิจที่แตกต่างไปจากเดิม

เอปสัน ในฐานะหนึ่งในผู้นำด้านงานพิมพ์ที่มีเทคโนโลยีเป็นของตัวเอง ก็ยังคงเดินหน้าพัฒนาเทคโนโลยีงานพิมพ์อย่างต่อเนื่อง ซึ่งถ้าหากยังจำกันได้ เอปสันเป็นผู้นำเทคโนโลยี “แทงค์แท้” ออกเป็นพรินเตอร์ให้ลูกค้าได้ใช้งานกัน ตั้งแต่ปี 2553 สวนกระแสเครื่องถูกหมึกแพง สร้างเป็นเครื่องแพง หมึกถูก พร้อมกับคุณภาพที่เชื่อถือได้ จนทำให้ตลาดพรินเตอร์ติดแทงค์เถื่อนทั้งหลายต้องถอยร่นไป ขณะที่คู่แข่งรายอื่นก็ออกพรินเตอร์แทงค์แท้ตามออกมาเหมือนกัน

และในขณะที่การใช้งานพรินเตอร์ของผู้บริโภคทั่วไปเริ่มลดน้อยลง กลุ่มตลาดองค์กรธุรกิจกลับยังคงมีการใช้งานพรินเตอร์อย่างต่อเนื่อง นั่นคือหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้เอปสันหันมารุกตลาดองค์กรธุรกิจมากขึ้น

นายยรรยง มุนีมงคลทร ผู้จัดการทั่วไปด้านการขาย ผลิตภัณฑ์ และการตลาด บริษัท เอปสัน (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ปี 2560 ที่ผ่านมา จำนวนพรินเตอร์ทั้งหมดมีกว่า 1.3 ล้านเครื่อง ในจำนวนนี้อยู่ในองค์กรธุรกิจ 78 เปอร์เซ็นต์ และอยู่ในตลาดคอนซูเมอร์ 22 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งปัจจุบันทั้งสองตลาด อิงค์เจ็ทพรินเตอร์ครองส่วนแบ่งส่วนใหญ่อยู่

Advertisement

“เมื่อ 7-8 ปีที่แล้ว ออฟฟิสส่วนใหญ่จะใช้เลเซอร์พรินเตอร์ ซึ่งหมึกจะแพงมาก และต้องใช้ความร้อนมหาศาล การสึกหรอของอุปกรณ์ก็ค่อนข้างมาก ขณะที่ความเร็วของเลเซอร์พรินเตอร์สมัยก่อนก็จะไม่เร็วมาก และยังมีความเสี่ยงในเรื่องของสิ่งแวดล้อม เพราะมีผงหมึกฟุ้งกระจายออกมาซึ่งเป็นอันตรายอย่างมาก แต่หลังจากเอปสันเปิดตัวอิงค์เจ็ทใหม่ๆ ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในวงการการพิมพ์ ที่ทำให้ต้นทุนถูกลง เครื่องคงทนมากขึ้น เร็วขึ้น ไม่มีปัญหาเรื่องผงหมึกฟุ้งกระจาย กินไฟน้อยมาก และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม” นายยรรยงกล่าว และว่า ปัจจุบันความต้องการใช้เลเซอร์พรินเตอร์ในตลาดธุรกิจเองลดลงอย่างต่อเนื่อง สวนทางกับยอดขายของอิงค์เจ็ทพรินเตอร์ที่มีมากขึ้น ทำให้เอปสันเชื่อมั่นว่า ภายใน 3 ปีต่อจากนี้ หรือในปี 2563 อิงค์เจ็ทพรินเตอร์จะขึ้นมาเป็นมาตรฐานการพิมพ์ใหม่ขององค์กรธุรกิจอย่างแน่นอน ด้วยส่วนแบ่งมากกว่า 75 เปอร์เซ็นต์ หรือคิดเป็น 3 ใน 4 ของพรินเตอร์ทั้งหมดในตลาดองค์กรธุรกิจ

นายยรรยงกล่าวว่า เอปสันเอง ก็ได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์รองรับเรื่อยมา อย่างเมื่อปีที่ผ่านมา เอปสันเองก็ได้เปิดตัวอิงค์เจ็ทพรินเตอร์ความเร็วสูงสำหรับองค์กรขนาดใหญ่ รุ่นเวิร์กฟอร์ซ (WorkForce) ที่ใช้หัวพิมพ์ไมโครปิเอโซรุ่นใหม่ พรีซิชันคอร์ ไลน์ เฮด (PrecisionCore Line Head) ที่มีประสิทธิภาพการทำงานและให้คุณภาพงานทัดเทียมกับเลเซอร์พรินเตอร์ ซึ่งความต่อเนื่องในการออกอิงค์แท็งพรินเตอร์ มีส่วนอย่างมากที่ทำให้ผู้บริโภคได้เรียนรู้ คุ้นเคย และเปลี่ยนทัศนคติเกี่ยวกับข้อด้อยต่างๆของอิงค์เจ็ทพรินเตอร์ในอดีตไปจนหมด และเอปสันก็จะยังคงออกผลิตภัณฑ์อิงค์แท็งค์พรินเตอร์รุ่นใหม่อย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบรับความต้องการด้านการพิมพ์ในธุรกิจทุกขนาด

นอกจากนี้ ก็ยังมีกลุ่มของเครื่องพิมพ์เชิงพาณิชย์และอุตสาหกรรม แม้ว่าปีที่ผ่านมา เศรษฐกิจจะไม่ค่อยดี แต่ผลิตภัณฑ์ของเอปสันในกลุ่มนี้ยังคงเติบโตดีมาก เนื่องจากธุรกิจโฟโต้แล็บมีการขยายตัวอย่างมากและนิยมใช้ระบบดิจิทัลกันมากขึ้น มีการเปลี่ยนเทคโนโลยีจากเครื่องใช้น้ำยา มาเป็นใช้ดิจิทัล ซึ่งเอปสันเองก็มีสินค้าที่ตอบโจทย์รอบรับทุกประเภทงานพิมพ์แบบครบวงจร โดยปัจจุบันมีโฟโต้แล็บที่ใช้พรินเตอร์ของเอปสันกว่า 650 แล็บทั่วประเทศ หรือรวมกว่า 1,000 เครื่อง

Advertisement

สุดท้ายเรื่องสำคัญสำหรับเอปสันที่ใส่ใจเสมอมา คือเรื่องของงานบริการสำหรับกลุ่มธุรกิจนั้น เอปสันก็ได้มีการจัดเตรียมชิ้นส่วนอะไหล่และเครื่องสำรองเอาไว้ให้ พร้อมที่จะส่งให้บริการได้ทันที และยังมีโปรแกรมขยายระยะประกันสินค้าที่จะช่วยให้ลูกค้าอุ่นใจยิ่งขึ้น

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image