เปิดบ้านใหม่ ‘เฟซบุ๊ก’ ในไทย มุ่งสู่การพัฒนาธุรกิจและสังคม

จอห์น แวกเนอร์ กรรมการผู้จัดการ เฟซบุ๊ก ประเทศไทย

เปิดบ้านใหม่กันอย่างเป็นทางการไปเรียบร้อย สำหรับ “เฟซบุ๊กประเทศไทย” ที่เปิดให้สื่อมวลชนได้เข้าชมสำนักงานแห่งใหม่ใจกลางเมือง ที่อาคารเกษร ทาวเวอร์ ชั้น 27 งานนี้ นายจอห์น แวกเนอร์ กรรมการผู้จัดการเฟซบุ๊กประเทศไทยมาคอยต้อนรับอย่างอบอุ่น

คำคมตามผนัง
มุมกีฬาเพื่อผ่อนคลาย
มุมกาแฟ
มุมห้องลับหลังตู้กับข้าว

พร้อมกันนี้นายแวกเนอร์ยังได้กล่าวถึงกลยุทธ์ของเฟซบุ๊กในการทำตลาดในประเทศไทยว่า เป็นที่ทราบกันดีว่าคนไทยถือว่าเป็นชาติที่มีการใช้งานอินเตอร์เน็ตบนอุปกรณ์เคลื่อนที่ในแต่ละวันที่มากที่สุดในโลก ขณะที่ผู้ใช้เฟซบุ๊กในประเทศไทยในแต่ละเดือนอยู่ที่ 51 ล้านคน และในแต่ละวันมีผู้เข้าใช้เฟซบุ๊กมากถึง 34 ล้านคน

ซึ่งแสดงให้เห็นถึงแนวโน้มของการเข้าสู่สังคมดิจิทัลของไทย โดยกลุ่มที่มีบทบาทในสังคมดิจิทัลของไทย ประกอบไปด้วย 3 กลุ่มคือ กลุ่มธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม หรือเอสเอ็มอี กลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ และชุมชน

Advertisement

นายแวกเนอร์กล่าวว่า เอสเอ็มอีถือว่าเป็นกลุ่มที่เป็นศูนย์กลางของเศรษฐกิจของประเทศไทย เนื่องจาก 98% ของธุรกิจทั้งหมดของไทยเป็นเอสเอ็มอี และ 70% ของการจ้างงานในไทยเป็นกลุ่มเอสเอ็มอี ขณะที่ 40% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ หรือจีดีพี เกิดขึ้นจากเอสเอ็มอี

และเอสเอ็มอีนี่เองที่เชื่อมต่อผู้คนเข้าด้วยกัน และใช้เฟซบุ๊กเป็นเครื่องมือในการทำให้ธุรกิจเติบโตขึ้น โดยเอสเอ็มอีของไทยใช้เฟซบุ๊กเป็นช่องทางในการสื่อสารกับลูกค้าติดอันดับท็อป 5 ของโลก และมากเป็นอันดับ 1 ในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ถือเป็นพลังที่ผลักดันแนวคิดที่เรียกว่าเป็นโซเชียลคอมเมิร์ซ หรือการค้าขายบนโซเชียล

อีกสิ่งหนึ่งที่คนไทยอาจจะยังไม่รู้ นั่นคือเอสเอ็มอีของไทย เป็นผู้ที่ทำให้เกิดมาร์เก็ตเพลสขึ้นบนเฟซบุ๊ก

Advertisement

แวกเนอร์บอกว่า แต่เดิมที่เฟซบุ๊กทำเฟซบุ๊กไลฟ์ขึ้นมา ไม่ได้คิดว่าจะนำไปเพื่อการทำธุรกิจได้ แต่ปรากฏว่า มีแม่ค้าคนไทยไลฟ์สดขายของกันจนประสบความสำเร็จอย่างมากมาย ทำให้ทางเฟซบุ๊กได้เรียนรู้จากเอสเอ็มอีของไทย และได้สร้างผลิตภัณฑ์ที่ช่วยธุรกิจทั่วโลกขึ้นมา จนเกิดเป็นมาร์เก็ตเพลสบนเฟซบุ๊ก และประเทศไทยก็เป็นประเทศแรกๆ ที่เฟซบุ๊กเปิดตัวนวัตกรรมเพื่อธุรกิจเอสเอ็มอี

ซึ่งแวกเนอร์กล่าวว่า หนึ่งในความมุ่งมั่นที่ทีมงานเฟซบุ๊กต้องการช่วยหรือทำให้เอสเอ็มอีเติบโตอย่างมั่นคง

สำหรับกลุ่มที่ 2 คือกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ ซึ่งบรรดาผู้นำด้านธุรกิจของไทยมีความเชื่อว่า การเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลถือเป็นเรื่องสำคัญ โดยผลวิจัยในอุตสาหกรรมของภาคธุรกิจ พบว่า 89% ของผู้นำองค์กรธุรกิจไทยเชื่อว่าการเติบโตสู่อนาคตของธุรกิจ ขึ้นอยู่กับการปรับเปลี่ยนองค์กรไปสู่การทำธุรกิจเชิงดิจิทัล มีเพียง 29% เท่านั้นที่มีกลยุทธ์เชิงดิจิทัลเต็มรูปแบบ ข้อมูลล่าสุดยังแสดงให้เห็นว่า โอกาสในการเติบโตของธุรกิจบนโลกออนไลน์ในประเทศไทยสูงถึง 10,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐทีเดียว

ส่วนกลุ่มสุดท้าย คือกลุ่มชุมชน ซึ่งเฟซบุ๊กเองถือเป็นเครื่องมือสำคัญที่ทำให้เกิดการสร้างชุมชนที่แสนจะน่าทึ่งขึ้นมามากมายบนโลกดิจิทัล ซึ่งเฟซบุ๊กมุ่งสนับสนุนสังคมดิจิทัลในไทยผ่านโปรแกรมความร่วมมือต่างๆ อย่างโครงการให้ความรู้และอบรมผู้ประกอบกิจการเพื่อสังคมร่วมกับซีอาเซียน หรือแฮกฟอร์กู๊ด ไทยแลนด์ ที่เฟซบุ๊กเชิญชวนนักพัฒนาซอฟต์แวร์ชาวไทยมาร่วมสร้างสรรค์โซลูชั่นที่จะสร้างความเปลี่ยนแปลงเชิงบวกแก่ชุมชนในไทย หรือคิดก่อนแชร์ ประเทศไทย ที่เฟซบุ๊กสนับสนุนความพยายามในการเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจเชิงดิจิทัลในไทย เพื่อประสบการณ์บนโลกออนไลน์ที่ปลอดภัย

นอกจากนี้ยังมีชุมชนออนไลน์ที่น่าสนใจ ที่เชื่อมต่อกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งเข้าด้วยกัน แบ่งปันความสนใจที่เหมือนกัน และช่วยเหลือซึ่งกันและกัน โดยมีการสร้างกลุ่มต่างๆ เหล่านี้บนเฟซบุ๊กมากกว่า 1 ล้านกลุ่มแล้ว

ชุมชนที่เฟซบุ๊กอยากจะแนะนำ อย่างเช่น เฮลพ์ อัส รีด (Help Us Read) ที่เปิดขึ้นมาเพื่อช่วยเหลือผู้พิการทางสายตาในไทย ที่ต้องการความช่วยเหลือขั้นพื้นฐานที่จำเป็นในชีวิตประจำวัน อย่างเช่น การอ่านฉลากผลิตภัณฑ์ต่างๆ หรือหนังสือต่างๆ เป็นต้น

หรือกลุ่มรันทูเกเธอร์ (Run2Gether) ที่จัดงานวิ่งเพื่อผู้พิการ และเปิดโอกาสให้ผู้มีจิตอาสาเข้าไปช่วยผู้พิการในการวิ่ง

และแฮนด์อัพ เน็ตเวิร์ก (Handup Network) ชุมชนที่เชื่อมต่อกิจการเพื่อสังคมกับพี่เลี้ยงมืออาชีพ

กลุ่มบนเฟซบุ๊กเหล่านี้ถือเป็นอีกความภาคภูมิใจของเฟซบุ๊ก ที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มคนที่มีจิตใจมุ่งมั่นที่จะทำความดีเพื่อสังคม ให้ชุมชนของเราน่าอยู่มากยิ่งขึ้น

เป็นการแสดงให้เห็นว่า หากรู้จักนำเครื่องมือที่ดีของเฟซบุ๊กมาใช้ ก็สามารถทำให้เกิดประโยชน์ได้ทั้งกับธุรกิจและกับสังคม

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image