อ.รามคำแหง ร่ายยาว จากวังหน้าถึงท่าพระอาทิตย์ พาทริป BEM ไหว้พระพิฆเนศ รัวข้อมูลปึ้ก

อ.รามคำแหง ร่ายยาว จากวังหน้าถึงท่าพระอาทิตย์ พาทริป BEM ไหว้พระพิฆเนศ รัวข้อมูลปึ้ก

เมื่อวันที่ 16 มิถุนายน BEM ผู้ให้บริการทางพิเศษและรถไฟฟ้า MRT สายสีน้ำเงินและสายสีม่วง พร้อมด้วยพันธมิตร จัดกิจกรรม ’Happy Jouney with BEM มรดกสยาม 3 สมัย ระหว่างวันที่ 14-16 มิถุนายน โดยในวันนี้เป็นวันสุดท้าย

ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศเวลา 09.00 น. ซึ่งมีกิจกรรมแรก คือ History Trip : ฟังเรื่องวังหน้า ยลท่าพระอาทิตย์ -บางลำพู เดินทางไปยังสถานที่สำคัญโดยรอบพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร – พิพิธบางลำพู โดย ผศ. ธนโชติ เกียรติณภัทร อาจารย์ภาควิชาภาษาไทยและภาษาตะวันออก คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง

ADVERTISMENT

โดยเริ่มต้นเส้นทางที่พิพิธพิภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร – พระแก้ววังหน้า – สักการะพระพิฆเนศ – ชุมชนถนนพระอาทิตย์ – บ้านพระอาทิตย์ – ป้อมพระสุเมรุ และจบท้ายด้วยพิพิธบางลำพู

ผู้สื่อข่าวบรรยายบรรยากาศช่วงเวลา 08:45 น. ผู้คนทยอยรวมตัวกันอย่างหนาแน่น มีทั้งกลุ่มที่มาเป็นครอบครัวและผู้สูงวัย ทักทายกันด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ต่อแถวกันลงทะเบียนเป็นระเบียบเรียบร้อยโดยใช้บัตรปะชาชน และมีเจ้าหน้าที่ประจำจุดต่างๆ ตั้งแต่หน้าประตู

ADVERTISMENT

และส่งเสียงเรียกรวมพลและชี้แจงรายละเอียด โดยมีจุดลงทะเบียนชัดเจนและสัญลักษณ์ต่างๆ เช่น ป้าย และโบว์ชัวร์ข เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ผู้เข้าร่วมรวมจำนวน 40 คน พร้อมทั้งยังมีกระเป๋าผ้าแจกเป็นของที่ระลึกสำหรับทริปวันสุดท้ายนี้

นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ได้แนะนำวิธีการใช้หูฟังสำหรับรับฟังการบรรยายข้อมูลในพิพิธภัณฑฺโดยใช้หมายเลขเดียวกันคือเลข 01

เวลา 09:10 น. เริ่มต้นที่จุดหมายแรก คือ พิพิธพิภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ซึ่งเดิมเป็นส่วนหนึ่งของ พระราชวังบวรสถานมงคล หรือ ‘วังหน้า’ ที่ประทับของ สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท ตั้งแต่รัชกาลที่ 1

ผศ. ธนโชติ กล่าวว่า ‘พระที่นั่งศิวโมกขพิมาน’ เป็นพระที่นั่งเดิมภายในพระราชวังบวรสถานมงคล สร้างขึ้นครั้งแรกโดย สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท เดิมก่อสร้างด้วยไม้ทั้งหลัง ถ่ายแบบพระที่นั่งมาจากพระที่นั่งทรงปืนที่พระราชวังหลวง สมัยกรุงศรีอยุธยา บ้างจึงเรียกว่า ‘พระที่นั่งทรงปืน’ บ้างก็เรียกว่า ‘พระที่นั่งทรงธรรม’ โดยต่อมา เป็นสถานที่ตั้งพระศพของสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาทด้วย

“สมัยสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาทท่านนำมาเป็นพระที่นั่งออกท้องพระโรง ต่อมาใช้ เป็นอาคารเอนกประสงค์ พอถึงยุครัชกาลที่ 5 ปรับมาเป็นพิพิธภัณฑ์ จากนั้น สมัยรัชกาลที่ 7
ใช้อาคารนี้เป็นหอพระสมุดวชิรญาณ ภายในเก็บศิลาจารึก และสมุดไทยในตู้พระธรรม“ ผศ. ธนโชติ กล่าว

ต่อมา มีการรื้อสร้างใหม่โดย สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพ ด้วยการใข้เสาปูนทั้งหลัง พยายามให้เหมือนกับสมัยอยุธยา และปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร” ผศ. ธนโชติ กล่าว

ต่อมา เมื่อเวลา 10:15 น. เดินเท้าสู่จุดหมายที่ 2 คือ ‘วัดพระแก้ววังหน้า’

ผศ. ธนโชติ กล่าวว่า วัดดังกล่าว สร้างอยู่ในพระบวรราชวัง หรือ พระราชวังบวรสถานมงคล หรือเรียกกันสั้นๆ ว่า วังหน้า โดยเป็นวัดที่ไม่มีพระสงฆ์จำวัด เนื่องจากเป็นวัดที่อยู่ในวัง และไม่มียอดปราสาท เพราะไม่มีธรรมเนียมการสร้างปราสาทในวัด และไม่สร้างเป็นทรงหัวแหลมเปลี่ยนเป็นหลังคาทรงจตุรมุข ภายในมีจิตรกรรมสมัยรัชกาลที่ 4 เนื้อหาเกี่ยวกับอดีตภพของพระพุทธเจ้า เรื่องราวประวัติของพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์มีเนื้อหาหลักไม่แตกต่างกัน ผนังด้านล่างวาดเป็นประวัติพระพุทธสิหิงค์ตั้งแต่ต้น สำหรับเทคนิคจิตรกรรมเริ่มมี ‘มิติ’ เนื่องจากได้รับอิทธิพลจากตะวันตกแล้ว

“เดิมทีที่ตรงนี้เคยเป็นวัดหลวงชี เนื่องจาก ร.1 สร้างวัดประทานแก่หลวงชี ต่อมา สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาเสนานุรักษ์ กรมพระราชวังบวรสถานมงคลในรัชกาลที่ 2 บำรุงให้สร้างเป็นสวน ครั้นสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพ กรมพระราชวังบวรสถานมงคลในรัชกาลที่ 3 ได้สร้างวัดขึ้นมาใหม่ ให้ใช้ชื่อว่า วัดบวรสถานสุทธาวาส” ผศ. ธนโชติ กล่าว

จากนั้น คณะฯ ร่วมได้สักการะพระพิฆเนศที่หน้าอาคารวิทยาลัยนาฏศิลป์เดิม

ผศ. ธนโชติ กล่าวว่า พระพิฆเนศ ถอดจากคำว่า ‘วิฆเนศ’ เป็นเทพแห่งปัญญาตามความเชื่อในศาสนาพราหมณ์ ช่วยในการปราบอุปสรรค ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 6 มีการนับถือเป็นครูแห่งนาฏศิลป์

ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ผู้เข้าร่วมไม่สามารถเข้าไปยังด้านในของวัดพระแก้ววังหน้าได้ เนื่องจากอยู่ระหว่างบูรณะปฏิสังขรณ์ โดยผู้ร่วมกิจกรรมจะเดินทางไปยังสถานที่ต่อไปยัง ถนนพระอาทิตย์ เพื่อฟังการบรรยายและชมวิถีชีวิตชุมชนแถบนั้นต่อไป

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image