พบจารึกใหม่บนฐานพระพุทธรูปสุโขทัย วัดอินทาราม กรุงเทพฯ เอ่ยนาม ‘ศรีอโยธยา’ พ.ศ.1974 รัชกาลเจ้าสามพระยา นักวิชาการรุดอ่าน หวังพบหลักฐานสำคัญ อดีตอธิบดีกรมศิลป์ แนะเร่งบูรณะ
เมื่อวันที่ 10 เมษายน ที่ วัดอินทารามวรวิหาร แขวงบางยี่เรือ เขตธนบุรี กรุงเทพฯ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า มีการค้นพบจารึกบนฐานพระพุทธรูปศิลปะสุโขทัยองค์หนึ่งซึ่งประดิษฐานอยู่ภายในศาลารายของพระอุโบสถ ปรากฏคำสำคัญว่า ‘ศรีอโยธยา’

รศ.ดร. รุ่งโรจน์ ภิรมย์อนุกูล อาจารย์ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง เจ้าของผลงาน ‘อโยธยา ก่อนสุโขทัย ต้นกำเนิดอยุธยา’ เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 8 เมษายนที่ผ่านมา ตนเดินทางมาสำรวจและถ่ายภาพพระพุทธรูปรวมถึงจารึก หลังได้ทราบข่าวจากพระภิกษุของวัดแห่งหนึ่งว่ามีผู้สังเกตเห็นตัวอักษรบริเวณฐานพระพุทธรูปซึ่งหล่อด้วยโลหะ อันเนื่องมาจากวัสดุ ‘รัก’ หลุดร่อน เผยให้เห็นข้อความต่างๆ ตนจึงเดินทางมายังวัด และขออนุญาตทางวัดในการบันทึกภาพและข้อมูล เพื่อศึกษาต่อไป เนื่องจากจารึกดังกล่าว ไม่เคยปรากฏในทะเบียนจารึกของหอสมุดแห่งชาติ กรมศิลปากร รวมถึงการตีพิมพ์เผยแพร่ใดๆ มาก่อน สำหรับเก๋งจีนดังกล่าว ตนเข้าใจว่าสร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 3 เมื่อครั้ง พระยาศรีสหเทพ บูรณะวัดแห่งนี้
“พระพุทธรูปองค์นี้ ประดิษฐานในเก๋งจีนซึ่งเป็นศาลารายในวัดอินทารามฯ เดิมบริเวณฐานพอกด้วยรัก หุ้มทอง ต่อมา รักกระเทาะ จึงพบจารึกอักษรไทย ภาษาไทย มี 3 บรรทัด เนื้อหาเท่าที่อ่านได้ในขณะนี้ มีคำสำคัญว่า ศรีอโยธยา และ บรมราชาธิบดีศรีบรมจักรพรรดิราช ซึ่งหมายถึง สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 2 หรือ เจ้าสามพระยา กษัตริย์อยุธยา นอกจากนี้ ยังปรากฏนาม เจ้านครยศ ซึ่งก็คือ พระยาศรียศราช เมืองศรีสัชนาลัย อีกด้วย
ความสำคัญ คือ พระพุทธรูปองค์นี้ เป็นพระพุทธรูปศิลปะสุโขทัย หล่อด้วยโลหะ คือ กลุ่มภาคกลางตอนบน เมื่อปรากฏคำว่า ศรีอโยธยา จึงเป็นหลักฐานที่สะท้อนถึงความตกค้างของชื่อเมืองอโยธยาที่เรียกมาแต่เดิมในความทรงจำ” รศ.ดร.รุ่งโรจน์ กล่าว
รศ.ดร.รุ่งโรจน์ กล่าวต่อไปว่า หลังจากตนถ่ายภาพอย่างละเอียด จึงได้ร่วมกับ ผศ.ธนโชติ เกียรติณภัทร อาจารย์ภาควิชาภาษาไทยและภาษาตะวันออก คณะมนุษยศาสตร์ ม.รามคำแหง อ่านและปริวรรต โดยพบว่า ข้อความบรรทัดแรกในจารึก ระบุจุลศักราช 793 ตรงกับพุทธศักราช 1974 ในรัชกาลเจ้าสามพระยา สอดคล้องกับพระนามที่ปรากฏในจารึกว่า ‘บรมราชาธิบดีศรีบรมจักรพรรดิราช’
สำหรับรายละเอียดคำอ่านอย่างไม่เป็นทางการของจารึกที่สะกดตามอักขรวิธีเดิม และคำปริวรรตเป็นภาษาปัจจุบัน
มีดังนี้
ฐานด้านกระดานด้านหน้า
บรรทัดที่ 1 สกราชได้ ๗๙๓ กุรนกัสตรเดิอนสิบออกใหมแปดคำวนนพุทธไทภาสากตสทงาขาพระเจ้าพระองคนีชีเจานคอรยศเปนขาพระบาททาวศริปศราช..นคอรผูเปนเจาทรง
(ศักราชได้ 793 กุนนักษัตร เดือนสิบออกใหม่แปดค่ำ วันพุธ ไทภาษา กดสะง้า ข้าพระเจ้าพระองค์นี้ชื่อเจ้านครยศเป็นข้าพระบาทท้าวศริปศราช..นครผู้เป็นเจ้าทรง)
บรรทัดที่ 2 ทศธรรมเมิอปางพระบาทเสดจไปในศริอโยธยาถวายบงัคมแดสํเดจบรมราชาธิบดีศรีบรมจกรพรรดิราชวนันนักลอยสํเดจบรมราชาธิบดิศริบรมจกรพรรดิราชพระราชโองการให้พยร
(ทศธรรมเมื่อปางพระบาทเสด็จไปในศรีอโยธยาถวายบังคมแด่สมเด็จบรมราชาธิบดีศรีบรมจักรพรรดิราชวันนั้นกลอยสมเด็จบรมราชาธิบดีศรีบรมจักรพรรดิราชพระราชโองการให้เพียร)
บรรทัดที่ 3 ปรากติชิฃุนนคอรยศดวยสุพรรณกบัดวยไดเกลิงราชทองอีกทองตรากอรสรรพรางวนนทงัหลายอิกเงนทองนิจายเปนพระพุทธประติมาพระองคนิแลกลอย ฃ
(ปรากฎชื่อขุนนครยศด้วยสุพรรณกับด้วยได้เกลิงราชทองอีกทองตรากรสรรพรางวัลทั้งหลายอีกเงินทองนี้จ่ายเป็นพระพุทธปฏิมาพระองคนี้แลกลอย ข)
บรรทัดที่ 4.…….เริอนนิงค่านาแล……(เรือนหนึ่งค่านาแล……)
ฐานด้านกระดานด้านพระหัตถ์ขวา
บรรทัดที่ 1 อนนิ้งโสดพฃุนศรินคอรยสขพพฺรแดเจา
(อันหนึ่งโสด พ่อขุนศรีนครยศขอพระพรแด่เจ้า…)
บรรทัดที่ 2 อนัมาสบประเวณีธรรมไทพระจงทนพระพุ
(อันมาสบประเวณีธรรมไทยพระจงทันพระพุ)
บรรทัดที่ 3 ทธ เจาพระองคนีสถยรตเทาพระสาสนา
(ทธ เจ้าพระองค์นี้เสถียรต่อเท่าพระศาสนา)
ด้าน นายเอนก สีหามาตย์ อดีตอธิบดีกรมศิลปากร ในฐานะประธานบูรณะพระพุทธรูป 32 องค์ ในพระอุโบสถเก่าวัดอินทารามวรวิหาร มูลนิธิสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช กล่าวว่า สุโขทัย ศรีสัชนาลัยเป็นเมืองสำคัญ มีพระพุทธรูปโลหะเป็นพันๆ องค์ เวลาเมืองร้าง ก็ถูกเคลื่อนย้ายมาอยู่วัดในกรุงเทพฯ ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 1 เป็นต้นมา ต่อมา ในสมัยรัชกาลที่ 3 มีการบูรณะปฏิสังขรณ์วัดวาอารามต่างๆ เป็นจำนวนมาก กระทั่ง สมัยรัชกาลที่ 4 ก็เสด็จสุโขทัย และรัชกาลที่ 6 เมื่อครั้งยังดำรงพระอิสริยยศเป็นสยามมกุฎราชกุมาร ก็ทรงสำรวจสุโขทัย ศรีสัชนาลัย และกำแพงเพชร
“ทางวัดเองก็คิดว่าจะต้องดูแลบูรณะพระพุทธรูปองค์นี้ให้ดี เพราะมีความสำคัญ และเพื่อความปลอดภัย อาจต้องมีการซ่อมฐานในส่วนที่บูรณะขึ้นในสมัยหลัง ไม่ใช่ฐานสมัยสุโขทัย ส่วนเศียรพระพุทธรูป ชนกับเพดานเก๋งจีนที่ประดิษฐานอยู่ จึงจะมีการตัดฐานใหม่เพื่อลดความสูงลงมา ไม่ให้เปลวรัศมีชนเพดาน” นายเอนก กล่าว
นายเอนก กล่าวด้วยว่า สำหรับการอ่านจารึก ตนได้ประสานไปทางผู้ทรงคุณวุฒิ กรมศิลปากรเรียบร้อยแล้ว รวมถึงหารืออย่างไม่เป็นทางการกับนักวิชาการของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) ด้วย
“จารึกนี้เป็นหลักฐานใหม่ที่สนับสนุนหลักฐานเก่าในสมัยเจ้าสามพระยาซึ่งมีความสัมพันธ์กับสุโขทัยที่ลดอำนาจลง โดยอยุธยาเข้าครอบครองใช้พื้นที่เป็นส่วนหนึ่งของอยุธยาไป” นายเอนก ทิ้งท้าย