3 โจ๋ไล่ยิงนร.เทคนิคมีนฯรับมีปัญหาส่วนตัวไม่เกี่ยวสถาบัน ตร.เผยคนตายชักปืนก่อน ล่าอีก1

จากกรณี 2 คนร้ายขี่จักรยานยนต์ ไล่ติดตาม นายนพเก้า สุคนธรัตน์ หรือแบงก์ อายุ 19 ปี นักเรียนโรงเรียนมีนโปลีเทคนิคปี 3 แผนกช่างยนต์ ภายในซอยราษฏร์อุทิศ 23 แขวงมีนบุรี กทม. ก่อนจะใช้อาวุธปืนยิงทะลุหมวกกันน็อกเข้าที่ศีรษะ กระทั่งนายแบงก์ไปเสียชีวิตที่โรงพยาบาล ตามที่ได้เสนอข่าวไปนั้น ล่าสุดเจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถติดตามจับกุมตัวผู้ร่วมก่อเหตุได้แล้ว 3 คน ส่วนคนขี่จักรยานยนต์ยังคงหลบหนี

เมื่อเวลา 10.30น. วันที่ 3 กันยายน ที่สน.มีนบุรี พล.ต.ต.สมพงษ์ ชิงดวง รองผบช.น. และ พล.ต.ต.สมนึก น้อยคง ผบก.น.3 และ พ.ต.อ.ศุภชัชจ์ เปี่ยมมนัส รอง ผบก.น.3 ร่วมกับ พ.ต.อ.พรเทพ สูติปัญญา ผกก.สน.มีนบุรี แถลงการจับกุมกลุ่มผู้ก่อเหตุไล่ยิง 3 คน คือ นายวิรัตน์ รัศมี หรือ บุก เป็นมือปืนอายุ 19 ปี มีความผิดในข้อหาร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา และ นายเขมชาติ (สงวนนามสกุล) หรือ อามิน หรือเหยิน อายุ 18 ปี และ นายจิรัฐิติกาล เปรื่องการงาน อายุ 19 ปี ความผิดในข้อหาเป็นผู้ช่วยเหลือผู้อื่นในการกระทำผิด โดยสามารถจับกุมพร้อมกับของกลาง อาวุธปืนกล็อก 26 ที่ใช้ในการก่อเหตุ 1 กระบอกและเครื่องกระสุน 16 นัด รถจักรยานยนต์ฮอนด้าเวฟ 110 ไอ สีแดง ที่คนร้ายใช้ระหว่างไล่ติดตาม และรถฮอนด้า ซิตี้ สีดำ ที่ใช้ในการหลบหนี ขณะที่ นายวีระศักดิ์ บุญเพ็ง หรือ จู้ ที่เป็นคนขี่รถจักรยานยนต์ยังคงหลบหนีอยู่

พล.ต.ต.สมพงษ์ กล่าวว่า การกระทำของคนร้ายเป็นที่อุกอาจและกระทำในพื้นที่ชุมชน คดีนี้พล.ต.อ.ชาญเทพ เสสะเวช ผบช.น.ให้ความสนใจและได้สั่งให้ตนมาควบคุมติดตามอย่างใกล้ชิดซึ่งได้มีการระดมทำงานติดตามมาโดยตลอดจนทราบว่ามีคนร้ายที่ก่อเหตุทั้งหมด 4 ราย ซึ่งขณะนี้จับได้แล้ว 3 ราย ส่วนอีกรายยังคงหลบหนี ยึดของกลางได้ทั้งอาวุธปืนของคนร้ายและของผู้ตายอย่างละ 1 กระบอก พร้อมเสื้อผ้าและรถจักรยานยนต์ที่ใช้ในการก่อเหตุ

พล.ต.ต.สมนึก กล่าวถึงพฤติการณ์ของคนร้ายว่า ในวันที่ 28 กรกฎาคม เวลา 09.30น. เป็นวันเกิดเหตุซึ่งฝ่ายนายแบงก์ซึ่งมาพร้อมกับเพื่อนอีกคนได้ทำท่าจะชักปืนที่เอวออกมา เมื่อพบกับนายบุก ที่ซ้อนจักรยานยนต์สวนมาพบกันและมีการท้าทายกัน ก่อนที่นายแบงก์จะหลบหนีไปยังบ้านเพื่อน ระหว่างทางนายแบงก์ได้ใช้อาวุธปืนไทยประดิษฐ์ที่สามารถบรรจุกระสุนได้ครั้งละนัดยิงสวนไป ปรากฎว่านายบุกตามมาทันและใช้อาวุธปืนกล็อกยิงใส่ผู้ตาย 1 นัดและหลบหนีไปยังจุดนัดพบที่ซอยมิตรไมตรี 30 เพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้ารองเท้า โดยมีนายเบน และนายเหยินผู้ต้องหาอีก2 รายนำรถยนต์ฮอนด้าซิตี้มาสับเปลี่ยนกับจักรยานยนต์ฮอนด้าเวฟสีน้ำเงิน เพื่อนำกรอบรถสีน้ำเงินเดิมไปเผาทำลาย กระทั่งท้ายที่สุด ฝ่ายสืบสามารถติดตามตัวผู้ก่อเหตุได้ 3 ราย ซึ่งให้การรับสารภาพ แต่ปฏิเสธที่จะทำแผนประกอบคำสารภาพ

Advertisement

พ.ต.อ.ศุภชัชจ์ กล่าวว่า จากการรับสารภาพ กลุ่มผู้ต้องหาบอกว่า เมื่อเห็นข่าวก็ได้นำเสื้อผ้าที่สวมใส่ในวันก่อเหตุไปเผาทิ้ง และนำกรอบรถสีน้ำเงินเดิมไปเผาทำลายทิ้งก่อนจะเปลี่ยนเป็นกรอบสีแดงตามที่ปรากฎ

“ผู้ตายและคนร้ายเคยมีเรื่องบาดหมางมาก่อนซึ่งเป็นปัญหาระหว่างกลุ่ม ซอย 23 ของผู้ตาย และซอย26 ของคนร้ายซึ่งนายบุก ได้ซื้ออาวุธปืนกล็อกมาติดตัวไว้ในราคา 4 หมื่นบาทประมาณ 1 เดือน และเคยมีคดีทำร้ายร่างกายติดตัวมาแล้ว” พ.ต.อ.ศุภชัชจ์ กล่าวและว่า ผู้ต้องหาทั้ง4 คนไม่ได้เรียนที่สถาบันเดียวกันกับผู้ตายซึ่งขณะนี้ได้ติดตามตัวคนร้ายอีกรายที่กำลังหลบหนีอยู่ และหากมีการสอบสวนเพิ่มเติมก็อาจปรับเพิ่มโทษของผู้ที่สนับสนุนการกระทำผิดเป็นโทษร่วมกันฆ่าอีกด้วย

ขณะที่ นายสมบูรณ์ สุคนธรัตน์ อายุ 55 ปี พ่อของผู้ตาย กล่าวทั้งน้ำตาว่า ที่ผ่านมาได้ตักเตือนให้ลูกยระวังตัวอยู่ตลอดทุกเช้าก่อนไปเรียน ในวันที่เกิดเหตุเพื่อนของลูกได้บอกให้รับหน่อย ซึ่งลูกตนเป็นคนรักเพื่อนจึงออกไปรับ จึงเป็นที่มาเหตุการณ์ดังกล่าวซึ่งไม่น่าจะเกิดขึ้นได้

Advertisement

“ไม่เห็นจะต้องมาตีมาฆ่ากัน ตอนนี้จับคนร้ายได้แล้วก็รู้สึกดีใจ ขอขอบคุณตำรวจสน.มีนบุรีมากๆ ฝากไปยังผู้ก่อเหตุว่าอย่าไปยิงกันเลย พ่อแม่ทุกคนรักและเป็นห่วง อย่าใช้กำลังเลย และฝากไปยังทุกๆ สถาบันและไม่ว่าจะศิษย์เก่าหรือใหม่ก็ให้ช่วยดูแลนักเรียนดีๆ อย่าให้มาก่อเหตุทะเลาะวิวาท สอนเด็กให้ตั้งใจเรียน” นายสมบูรณ์ กล่าว

อย่างไรก็ตาม พล.ต.ต.สมพงษ์ กล่าวว่า คดีนี้ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องของสถาบัน เจ้าหน้าที่ตำรวจได้มีการประสานงานกับทหารเพื่อติดตามตรวจค้นอาวุธโดยมีความร่วมมือจากอาจารย์และผู้ปกครองอยู่แล้ว ฝากเตือนถึงผู้ที่คิดจะกระทำว่า แม้จะทำลายหลักฐานอย่างไรก็จะดำเนินการติดตามตัวมาทำตามกฎหมาย

ล่าสุดมีรายงานแจ้งว่าผู้ต้องหาที่ยังหลบหนีได้ติดต่อผ่านผู้ปกครองมาจะให้การมอบตัวแล้ว

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image