บช.ภ.3 คนไม่คาดเข็มขัด-เมินหมวกกันน็อก ตายสูงสุด-กู้ภาพตร.จราจรเป็นมิตรปชช.

เมื่อเวลา 09.30 น.วันที่ 9 ตุลาคม ที่กองบังคับการตำรวจจราจร (บก.จร.) พล.ต.ท.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รรท.ผู้ช่วย ผบ.ตร. เป็นประธานการประชุมมอบนโยบายการปฏิบัติราชการงานจราจรแก่ข้าราชการตำรวจสายงานจราจรในเขตพื้นที่ กทม. และพื้นที่รอยต่อใกล้เคียง โดยมี พล.ต.ต.จิรสันต์ แก้วแสงเอก และ พล.ต.ต.ธีรศักดิ์ สุริวงศ์ รอง ผบช.น. ร่วมมอบนโยบาย

พล.ต.ท.ดำรงศักดิ์กล่าวว่า ตามที่รัฐบาล โดยมี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง ได้สั่งกำชับถึงปัญหาการจราจรในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑลนั้น ในวันที่ 1 มกราคม ปี 2562 เป็นต้นไป จะเริ่มโครงการสืบสวนอุบัติเหตุบนท้องถนน โดยเก็บรวบรวมข้อมูลถึงต้นตอของสาเหตุการเกิดอุบัติเหตุว่ามาจากอะไรบ้าง ทั้งจากสภาพแวดล้อมหรือตัวคนขับเอง แล้วมาทำการวิเคราะห์เชิงสถิติ ซึ่งแต่เดิมเป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่สายตรวจอยู่แล้ว ต่อไปจะอบรมกับเจ้าหน้าที่ในทุกระดับ อย่างไรก็ตาม ตำรวจไม่สามารถทำเพียงลำพังได้ ยังต้องอาศัยภาคีเครือข่ายทั้งกรมทางหลวง การทางพิเศษและอื่นๆ โดยโครงการดังกล่าวได้เคยทำในพื้นที่ภูธรภาค 3 แล้ว และกำลังจะขยายมายังภาค 1 ซึ่งรวมถึงกรุงเทพฯ และปริมณฑลด้วย

“นอกจากนี้ผมยังเน้นความสำคัญให้กับการกู้ภาพลักษณ์ตำรวจจราจรให้เป็นมิตรและใกล้ชิดกับประชาชนตามที่ได้มีการจัดอบรมสุภาพบุรุษจราจร รวมถึงจะต้องเร่งประชาสัมพันธ์ให้กับประชาชนในการเรียกใช้สายด่วนจราจร 1197 ให้เป็นที่ทราบว่า สายด่วนนี้คือคำตอบสุดท้ายในการแจ้งเหตุรถเสีย หรืออุบัติเหตุบนท้องถนน” พล.ต.ท.ดำรงศักดิ์กล่าว และว่า

สำหรับเรื่องการนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ควบคู่กับการกดสัญญาณไฟจราจรนั้น จะมีการติดตั้งกล้องวงจรปิดเพิ่มเติม เพื่อให้ตำรวจที่ตู้สัญญาณสามารถตรวจดูท้ายแถวตามสี่แยกที่มีการจราจรติดขัดได้ทุกด้าน ช่วยในการประมวลผลต่อการตัดสินใจที่จะปล่อยรถมากขึ้น โดยระบบดังกล่าวจะคำนวณเป็นตัวเลขแบบอัตโนมัติ ส่วนพื้นที่ที่มีการก่อสร้างรถไฟฟ้าเส้นสีต่างๆ นั้น ก็จะต้องเร่งคืนพื้นผิวจราจรให้กับประชาชนเมื่อหมดความจำเป็น

Advertisement

ในที่ประชุมได้เปิดเผยข้อมูลรายงานถึงสถิติการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุโดยที่ผู้ใช้รถไม่ได้สวมเข็มขัดหรือหมวกนิรภัยในพื้นที่ภูธรภาค 3 สูงถึง 81% พร้อมยกตัวอย่างต้นแบบงานสืบสวนจราจร เขตพื้นที่ สภ.เขื่องใน เป็นสถิติการเสียชีวิตบนถนนสายหลัก สาย 23 ซึ่งเป็นจุดอันตราย ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ ถึงกันยายนที่ผ่านมา มีเหตุเกิดทั้งหมด 9 ครั้ง เสียชีวิตทั้งหมด 11 ราย โดยจะช่วยในการวิเคราะห์ถึงสาเหตุเพื่อหาแนวทางแก้ไขและป้องกันไม่ให้เกิดอุบัติเหตุต่อไป

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image