อัยการภาค 1 รับสำนวนคดีเบนซ์ชนฟอร์ดแล้ว ญาติผู้ตายพอใจ วอนพิจารณารอบด้าน(คลิป)

 

วันที่ 26 เมษายน เมื่อเวลา 09.30 น. พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พร้อมด้วย พล.ต.ท.ชัยวัฒน์ เกตุวรชัย ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 ได้เดินทางมาตรวจสรุปสำนวนคดี นายเจนภพ วีรพร ผู้ต้องหา ขับรถเบนซ์พุ่งชนรถยนต์ ของนิสิตปริญญาโท จนไฟลุกและเสียชีวิต 2 ศพ เหตุเกิดเมื่อวันที่ 13 มีนาคมที่ผ่านมา ท้องที่สถานีตำรวจภูธรพระอินทร์ราชา ที่ห้องประชุมภายในกองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดย พล.ต.ต.สุทธิ พวงพิกุล ผบก.ภ.จว.พระนครศรีอยุธยา ได้นำคณะพนักงานสอบสวนชุดใหม่ที่แต่งตั้งลงไปทำหน้าที่สอบสวนแทนโรงพักที่เกิดเหตุ จำนวน 9 ท่าน นำโดย พ.ต.อ.สุรินทร์ ทับพันบุบผา รอง ผบก.ภ.จว.พระนครศรีอยุธยา ได้นำสำนวนจำนวน 686 หน้า ซึ่งเป็นผลมาจากการสอบพยาน 54 ปาก รวมถึงพยานวัตถุ พยานแวดล้อม การตรวจสอบที่เกิดเหตุ และด้านเทคนิค จนสามารถนำไปสู่การตั้งข้อหา 8 ข้อแก่นายเจนภพ ได้แก่

1.ขับรถยนต์โดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายและทรัพย์สินเสียหาย, 2.ขับรถยนต์ในขณะหย่อนความสามารถ, 3.ขับรถยนต์โดยเมาสุราเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย, 4.ขับรถโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยบนท้องถนน, 5.ขับรถเร็วเกิดกว่ากฎหมายกำหมด (ขับเร็วที่สูงถึง 215-257 กิโลเมตร/ชั่วโมง) , 6.เป็นผู้ขับขี่เสพยาเสพติด, 7.ฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของเจ้าพนักงานเมื่อขอตรวจสอบตามกฎหมาย มาตรา 43(2) กรณีขอตรวจวัดแอลกอฮอล์ เมื่อครั้งเกิดเหตุ และ 8.ทราบคำสั่งของเจ้าพนักงานแต่ไม่ปฏิบัติตาม

201604261115261-20021028190200

ADVERTISMENT

พล.ต.อ.พงศพัศ เปิดเผยว่า ตัวสรุปสำนวนข้อหา 8 ข้อ นั้นเป็นไปตามข้อกฎหมายและพยานหลักฐาน ซึ่งตำรวจมั่นใจในน้ำหนักของสำนวนเพราะได้ทำงานอย่างรัดกุมรอบด้าน ซึ่งที่ผ่านมาได้มีการฝากขังผู้ต้องหาต่อศาลไป 4 ฝากขังแล้ว โดยจากที่กระแสสังคมและญาติผู้เสียชีวิตก่อนหน้านี้ อยากให้มีการตั้งข้อหาว่าฆ่าคนตายนั้น ตรวจสอบสำนวนแล้วไม่ปรากฏในข้อหาที่ตำรวจได้ตั้งไป 8 ข้อหา แต่ญาติผู้เสียชีวิตอาจตั้งทีมทนายส่งข้อมูลหรือฟ้องเองได้ แต่ในสำนวนของตำรวจนั้นไม่ปรากฏข้อหานี้ ซึ่งใน 8 ข้อหานั้นทางตำรวจก็พิจารณาไปตามเหตุการณ์ ข้อเท็จจริง พยานหลักฐาน และเงื่อนไขตามข้อกฎหมาย มั่นในสำนวนว่าจะเอาผิดได้ทั้ง 8 ข้อหา

201604261120312-20021028190200

จากนั้นเวลา 10.00 น. พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พร้อมด้วยพนักงานสอบสวนชุดใหม่ ได้นำสรุปสำนวนคดี ส่งให้อัยการจังหวัดพระนครศรีอยุธยา พิจารณาส่งฟ้องศาล โดยมี นายยงยุทธ เกียรติศักดิ์โสภณ อธิบดีอัยการภาค 1 พร้อมอัยการจังหวัด เป็นผู้รับสำนวนคดี

นายยงยุทธ ได้แถลงว่า หลังจากรับสรุปสำนวน 8 ข้อหาแล้ว จะกำหนดตั้งคณะทำงานจากอัยการผู้ทรงคุณวุฒิเชี่ยวชาญข้อกฎหมาย มาทำหน้าที่ และขอเวลา 30-40 วัน ในการพิจารณาสำนวนคดี เพื่อส่งฟ้องศาลจังหวัด โดยจะให้ความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย และต้องทำงานรวดเร็วภายใต้ข้อกฎหมาย รวมถึงระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด เป็นกรอบปฏิบัติ โดยทางอัยการสูงสุดได้กำชับ ให้พิจารณาอย่างรัดกุม ส่วนตามที่กระแสสังคมหรือก่อนหน้านี้  ญาติผู้เสียชีวิตต้องการให้มีการตั้งข้อหาอื่นเพิ่มนั้น ก็มีสิทธิ์จะร้องขึ้นมาได้ ถึงแม้ว่าในสำนวนของตำรวจจะไม่มี แต่ทุกอย่างก็ต้องว่าไปตามข้อเท็จจริง พยาน หลักฐานและข้อกฎหมาย

201604261115265-20021028190200

ขณะที่ ญาติของผู้เสียชีวิตทั้ง 2 ฝ่ายซึ่งมาดูการตรวจสอบสำนวนและยื่นสำนวนให้อัยการ นำโดย นางสาวนงรัตน์ รุ่งแสง น้องสาวของนายกฤษณะ ถาวร ผู้ตาย ได้ร่วมกันเปิดเผยว่า เบื้องต้นพอใจใน 8 ข้อหาที่ตำรวจได้ตั้ง โดยต้องการให้ตำรวจ และอัยการพิจารณาคดีในทุกมุมของกฎหมายและทุกมิติแบบรอบด้าน เพื่อจะเป็นตัวอย่างตัวอย่าง ในการเอาผิดผู้ที่กระทำความผิด เพราะก่อนหน้านี้ สังคมมักมีความเชื่อและมักพบว่า คนที่มีเงิน มีพรรคพวก มีอำนาจ หรือมีชื่อเสียง มักจะหลุดรอดหรือรับโทษเบากว่าสิ่งที่ได้กระทำ จึงอยากให้มีการสร้างเป็นบรรทัดฐานว่ากฎหมายใช้ได้กับทุกคนแบบเสมอภาค และให้เจ้าหน้าที่ทำงานอย่างรัดกุม รวดเร็ว กับทุกคดีกับทุกคน

ส่วนกรณีที่ว่าพวกตนเองอยากให้มีการแจ้งข้อหาฆ่าคนตายนั้น นางสาวนงรัตน์กล่าวว่า เมื่อในสำนวนคดีของตำรวจไม่มี ก็ไม่ได้ขัดแย้งหรือขัดขวาง เพราะต้องการให้ตำรวจได้สรุปสำนวนคดีส่งอัยการเพื่อส่งฟ้องศาลตามกระบวนการยุติธรรม แต่เมื่อกฎหมายให้สิทธิในการตั้งทีมทนายจากผู้เสียหายยื่นฟ้องเองได้ในข้อหาฆ่าคนตายนี้ พวกตนเองขอเวลา 2 สัปดาห์ในการพูดจาหารือกันในกลุ่มญาติผู้เสียชีวิต รวมถึงปรึกษาทีมทนาย และพยานหลักฐาน เพื่อประกอบข้อกฎหมาย ว่าจะดำเนินการยื่นฟ้องเองอีก 1 ข้อหาเพิ่มหรือไม่ต่อไป