ร้องปปป.อธิบดีดีเอสไอ-ผอ.กองคดีการเงิน ผิดม.157 ยึดทรัพย์มูลนิธิวัดธรรมกาย

ชาวพุทธพลังแผ่นดินร้อง ปปป. ดำเนินคดีอธิบดีดีเอสไอ และ ผอ.กองคดีการเงิน ปฏิบัติหน้าที่มิชอบ ม.157 กรณียึดทรัพย์มูลนิธิวัดธรรมกาย

เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม ที่กองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (บก.ปปป.) กลุ่มชาวพุทธพลังแผ่นดิน นำโดยนายจรูญ วรรณกสิณานนท์, นาวาเอกพิเศษวินัย เสวกวิ, ทนายพงค์นรินทร์ อมรรัตนา พร้อมด้วยเครือข่ายองค์กรชาวพุทธอื่นๆ ร่วมกันไปยื่นเรื่องร้องเรียนต่อ พล.ต.ต.วิวัฒน์ ชัยสังฆะ ผบก.ปปป เพื่อแจ้งข้อกล่าวหาต่อ พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ และ พ.ต.ท.ปกรณ์ สุชีวกุล ผอ.กองคดีการเงินการธนาคารและการฟอกเงิน กรมสอบสวนคดีพิเศษ กรณีแจ้งข้อกล่าวหาฟอกเงิน และอายัดทรัพย์สินของวัดพระธรรมกายโดยมิชอบ

นายจรูญกล่าวว่า ตามที่อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ ได้แจ้งข้อกล่าวหาวัดพระธรรมกายด้วยข้อหาฟอกเงินจากเงินรับบริจาคนั้น เป็นการตั้งข้อหาโดยมิชอบ ไม่เป็นไปตาม พ.ร.บ.การฟอกเงิน พ.ศ.2558 ที่มิได้บัญญัติว่า เงินที่ได้รับจากการบริจาคถือเป็นความผิดฐานฟอกเงินตามพระราชบัญญัติดังกล่าว จึงเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามมาตรา 157 และการปฏิบัตินั้นยังเข้าข่ายเป็นการเพื่อจะแกล้งผู้หนึ่งผู้ใดให้ได้รับโทษหนักขึ้น อันเป็นความผิดตามมาตรา 200 อีกด้วย

นายจรูญกล่าวต่อว่า นอกจากนี้ พ.ต.อ.ไพสิฐ ได้มีการเสนออัยการฟ้องศาลให้ยึดทรัพย์สินและอายัดอาคารสถานที่อันเป็นสมบัติของวัดพระธรรมกายนั้น เป็นการปฏิบัติฝ่าฝืนพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ.2505 แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ.2535 มาตรา 34 วรรคสอง “ห้ามมิให้บุคคลใดยกอายุความขึ้นต่อสู้กับวัด หรือกรมการศาสนา แล้วแต่กรณีในเรื่องทรัพย์สินอันเป็นที่วัด ที่ธรณีสงฆ์ หรือที่ศาสนสมบัติกลาง” และมาตรา 35 “ที่วัด ที่ธรณีสงฆ์ และที่ศาสนสมบัติกลาง เป็นทรัพย์สินซึ่งไม่อยู่ในความรับผิดแห่งการบังคับคดี”

Advertisement

“และยังเป็นการเข้าข่ายผิดกฎหมายรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ปี 2560 มาตรา 67 ที่กำหนดว่า รัฐพึ่งอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนา อันเป็นศาสนาที่ประชาชนชาวไทยส่วนใหญ่นับถือ และต้องมีมาตรการและกลไกในการป้องกันมิให้มีการบ่อนทำลายพระพุทธศาสนาไม่ว่าในรูปแบบใด การกระทำของ พ.ต.อ.ไพสิฐ จึงเข้าข่ายฐานบ่อนทำลายพระพุทธศาสนาในรูปแบบการทำลายโดยใช้กฎหมายในการทำลายอีกด้วย” นายจรูญกล่าว และว่า พ.ต.อ.ไพสิฐ ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ซึ่งเมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2560 กลุ่มชาวพุทธพลังแผ่นดินได้แจ้งข้อกล่าวหากลุ่มบุคคล กรณีเก็บเงินฮาลาลผิดกฎหมาย ต่ออธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ โดยมีการเรียกเก็บเงินจากผู้ประกอบการไม่ผ่านนายทะเบียน ตาม พ.ร.บ.เครื่องหมายการค้า พ.ศ.2534 เข้าข่ายเป็นอาชญากรทางธุรกิจ สร้างความเสียหายต่อประเทศชาติและประชาชนอย่างกว้างขวาง แต่กรมสอบสวนคดีพิเศษได้แจ้งว่า ได้ตรวจพิจารณาแล้ว ไม่ปรากฏว่า มีการกระทำผิดอาญาเกิดขึ้น จึงมีคำสั่งยุติการสืบสวน แม้ตอนหลังทางกลุ่มผู้ร้องได้ยื่นเรื่อง ขอให้ทบทวนและขอให้เปลี่ยนตัวพนักงานสอบสวน พร้อมเอกสารคำขอจดทะเบียนเครื่องหมายฮาลาล แบบ ก.01 คำขอเลขที่ 372520 ระบุชนิดสินค้า 2 ชนิด คือ บะหมี่สำเร็จรูป และ น้ำปลา แต่กลุ่มผู้กระทำความผิดได้นำเครื่องหมายนั้นแอบอ้างต่อสาธารณชนและผู้ประกอบการเพื่อให้ติดตราดังกล่าว เป็นเหตุให้สินค้าจำนวนมากในประเทศไทย มีการติดตราสัญลักษณ์ฮาลาล ทำให้ผู้ผลิตสูญเสียเงินจำนวนมาก และต้องบวกต้นทุนขึ้นกับผู้บริโภคอีกต่อหนึ่ง

“การที่ พ.ต.อ.ไพสิฐ วินิจฉัยว่า ไม่พบการกระทำความผิด จึงเป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ เพื่อช่วยเหลือมิให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องได้รับโทษ จึงเป็นการละเว้นการปฏิบัติต่อหน้าที่ตามมาตรา 157 และการละเว้นการปฏิบัตินั้น เข้าลักษณะเพื่อจะช่วยเหลือกลุ่มผู้กระทำความผิดมิให้ต้องรับโทษ เข้าข่ายความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 200 ด้วย นอกจากนี้ ยังเข้าข่ายเป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติการอำนวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตของทางราชการ พ.ศ.2558 ตามมาตรา 8 และ ตามมาตรา 13 ด้วย” นายจรูญกล่าว

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image