ศาลเลยสั่งจำคุกพร้อมจ่ายสินไหม จำเลยทำร้ายชาวบ้านต้านเหมืองทอง

วันที่ 31 พฤษภาคม 2559 ที่ศาลจังหวัดเลย กลุ่มคนรักบ้านเกิดกว่า 300 คน ต่อต้านเหมืองทองคำ ต.เขาหลวง อ.วังสะพุง จ.เลย ที่เดินทางมาฟังคำพิพากษา ในคดีความของชาวบ้านจากเหตุการณ์ปิดล้อมชุมชนเพื่อขนแร่ เมื่อวันที่ 15 พ.ค.2557 คดีหมายเลขดำที่ อ.5440/2557 พนักงานอัยการเป็นโจทก์ นายสุรพันธ์ รุจิไชยวัฒน์ กับพวกรวม 9 คน เป็นโจทก์ร่วม ยื่นฟ้อง พันโท ปรมินทร์ ป้อมนาค และ พลโท ปรเมษฐ์ ป้อมนาค จำเลย ในความผิดอาญา ข้อหาทำร้ายร่างกาย กักขัง หน่วงเหนี่ยว ร่วมกันมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต คดีหมายเลขดำที่ อ.2991/2558 หมายเลขแดง อ.3992/2559 ที่บริษัท ทุ่งคำ จำกัด ฟ้องนายสมัย ภักดิ์มี ประธานสภา อบต.เขาหลวง และนายกองลัย ภักมี ผู้ใหญ่บ้านนาหนองบง หมู่ 3 เป็นจำเลย ในข้อหาเจ้าพนักงานที่ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เกี่ยวกับการก่อสร้างซุ้มประตูและติดป้าย “หมู่บ้านนี้ไม่เอาเหมือง” คดีดังกล่าวศาลชั้นต้นตัดสินยกฟ้องเพราะคดีไม่มีมูล แต่ทางโจทก์ยื่นอุทธรณ์ ท่ามกลางการรักษาความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ชุดควบคุมฝูงชน จำนวน 1 กองร้อย

โดยศาลได้พิพากษาให้ คดีที่ 1 ขนแร่ด้วยอำนาจเถื่อน ศาลตัดสินจำคุก 2 ปี 12 เดือน แก่จำเลยที่ 1 พันโท ปรมินทร์ ป้อมนาค ผู้เป็นลูก (ยังรับราชการอยู่) และจำคุก 1 ปี 12 เดือน แก่จำเลยที่ 2 พลโท ปรเมษฐ์ ป้อมนาค ผู้เป็นพ่อ (นายทหารนอกราชการ) และให้จ่ายค่าเสียหายทดแทนแก่ชาวบ้าน ซึ่งเป็นโจทก์ทั้ง 9 ราย รวมทั้งหมด 165,600 บาท ภายใน 15 วัน

คดีที่ 2 ฟ้องนายสมัย ภักดิ์มี ประธานสภา อบต.เขาหลวง และนายกองลัย ภักดิ์มี ผู้ใหญ่บ้าน บ้านนาหนองบง หมู่ 3 เป็นจำเลย ในข้อหาเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เกี่ยวกับการก่อสร้างซุ้มประตูและติดป้าย ‘หมู่บ้านนี้ไม่เอาเหมือง’ ศาลอุทธรณ์ยืนตามศาลชั้นต้นให้ยกฟ้อง ในส่วนของจำเลยทั้งสองคงจะขอประกันตัวเพื่อสู้คดีต่อในชั้นอุทธรณ์ หลังศาลตัดสินลงโทษจำเลยแล้วนั้น ชาวบ้านต่างพอใจกันเป็นอย่างมาก บางคนถึงกับหลั่งน้ำตาออกมา

นางสาวรัตนมณี คนกล้า หัวหน้าทีมทนายของกลุ่มคนรักบ้านเกิด ต่อต้านเหมืองทองคำ แถลงว่า คำพิพากษาของศาลจังหวัดเลย คดีแรก บ.ทุ่งคำ ฟ้องนายสมัย ภักดิ์มี กับนายกองลัย ภักดิ์มี ว่าปฏิบัติหน้ามิชอบ กรณีที่มีการทำซุ้มประตูในหมู่บ้านทุ่งคำ ว่า “ปิดเหมืองฟื้นฟู” ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง วันนี้ฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ก็ยืนตามพิพากษาชั้นต้น เพราะถือว่าเรื่องของการทำซุ้มประตูนั้นมันไม่ใช่เรื่องเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ แต่เป็นสิทธิของแต่ละบุคคล รวมทั้งเรื่องชี้นำชาวบ้านไปชุมนุมต่างๆ ก็ถือว่าเป็นเรื่องสิทธิส่วนบุคคล ศาลเห็นว่าเป็นการกระทำผิดศาลจึงยกฟ้องซึ่งคดีนี้ไม่สามารถฎีกาได้แล้ว

Advertisement

สำหรับคดีที่สำคัญคือ คดีเหตุการณ์เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2557 ศาลเห็นว่าในคืนวันที่ 15 พฤษภาคม ได้มีชายฉกรรจ์เข้ามาในหมู่บ้านประมาณ 150 คน มาจับตัวชาวบ้านเอาไว้ในจุดเกิดเหตุ 3 จุด ที่ชาวบ้านตั้งจุดเวรยามในหมู่บ้าน ในการที่กลุ่มชายฉกรรจ์เข้ามาจับกุมนั้น มีผู้เสียหาย 24 รายที่ได้ไปแจ้งความต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ และศาลก็เห็นว่าจำเลยที่ 1 นั้นเนื่องจากมีพยานหลักฐานเป็นบุคคล 3 คน มีทั้งคนนอกและชาวบ้านได้ยืนยันว่าจำเลยที่ 1 ได้เข้าไปในหมู่บ้านและเข้าไปร่วมกับชายฉกรรจ์ 150 คน ไปจับตัวชาวบ้านแล้วทำร้ายร่างกาย การกระทำของกลุ่มคน 150 คนเข้าไปในหมู่บ้านนั้น เป็นการเข้าไปในลักษณะเตรียมการ เป็นการวางแผนเพื่อให้มีการดำเนินการ โดยศาลเห็นว่าการดำเนินการดังกล่าวเพื่อให้มีการขนแร่ออกไปให้ได้ในคืนนั้น ฉะนั้น ศาลจึงเห็นว่า จำเลยที่ 1 อยู่ในเหตุการณ์และเป็นผู้กระทำการ

201605311417441-20041120161530

ส่วนจำเลยที่ 2 มีพยานคนนอกไม่ใช่ชาวบ้าน ซึ่งเป็นคนขับรถของกลุ่มชายฉกรรจ์ได้ยืนยันในลักษณะว่า เห็นจำเลยที่ 2 ไปร่วมในการสั่งการที่ลานมัน โดยจำเลยที่ 2 ก็ให้การในลักษณะตรงกันกับพยาน แต่อ้างว่า เป็นเรื่องที่ถูกหลอกให้ไป แต่ศาลเห็นว่าไม่น่าจะเป็นเช่นนั้น ศาลมองว่า เป็นนายทหารชั้นผู้ใหญ่ ศาลเชื่อพยานหลักฐานของโจทก์และโจทก์ร่วม จำเลยที่ 2 จะต้องรับผิดในฐานะเป็นผู้ใช้ให้จำเลยที่ 1 และชายฉกรรจ์อื่นๆ ไปทำการ เพื่อให้มีการขนแร่ได้ด้วยการทำร้ายชาวบ้าน มีการหน่วงเหนี่ยวกักขัง รวมทั้งมีการทำให้เสียทรัพย์และมีการถูกฟ้องในข้อหาเรื่องอาวุธปืนด้วยว่า ครอบครองอาวุธปืนและนำอาวุธปืนไปในที่สาธารณะ

Advertisement

โดยศาลได้พิพากษาว่า จำเลยที่ 1 ในฐานะตัวการ มีความผิดตามคำฟ้องทั้งหมด คือมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต มีการนำอาวุธปืนไปในที่สาธารณะ ศาลได้ลงโทษ 2 ข้อหา ข้อหาละ 6 เดือน รวมเป็น 12 เดือน และข้อหาหน่วงเหนี่ยวกักขัง ทำร้ายร่างกาย ยิงปืนในหมู่บ้าน ทำให้เสียทรัพย์ ศาลมองว่า เป็นการกระทำกรรมเดียวกัน ศาลได้พิพากษาให้ลงโทษจำคุก 2 ปี จำเลยที่ 1 รวมลงโทษ 2 ปีกับ 12 เดือน ส่วนจำเลยที่ 2 ศาลเห็นว่า เป็นผู้ใช้ให้จำเลยที่ 1 ร่วมกับชายฉกรรจ์ไปกระทำการดังกล่าว จำเลยที่ 2 ต้องรับผิดในฐานะผู้ใช้ถือว่าเป็นตัวการร่วม แต่ได้ให้การเป็นประโยชน์ ศาลให้ลงโทษ 1 ปี กับ12 เดือน

นอกจากนั้น ศาลได้สั่งให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ให้จ่ายค่าเสียหายทดแทนแก่ชาวบ้าน ซึ่งเป็นโจทก์ทั้ง 9 ราย รวมทั้งหมด 165,600 บาท ภายใน 15 วัน

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image