ศาลยกคดี”อนันต์ อนันตกูล”ยื่นฟ้อง”ที่ดินภูเก็ต” ชี้ยกเลิกออกโฉนด29ไร่ชอบแล้ว

เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม ศาลปกครองกลาง โดย น.ส.กิ่งกาญจน์ คุณสุทธิ์ ตุลาการศาลปกครอง เจ้าของสำนวน พิพากษายกฟ้องคดีที่ นายอนันต์ อนันตกูล กรรมการสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะผู้จัดการมรดก ของนายไพบูลย์ อนันตกูล น.ส.สุกัญญา เทพพิทักษ์ และนายกฤษดา วีระพล หรือพระกฤษดา กิตติญาโน ร่วมกันครอบครองที่ดิน ส.ค.1 เลขที่ 16 หมู่ 3 ต.รัษฎา อ.เมือง จ.ภูเก็ต และเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ร่วมในที่ดิน ตามโฉนดเลขที่ 35691 ตำบลและอำเภอเดียวกัน ร่วมกัน ยื่นฟ้อง เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดภูเก็ต เรื่องกระทำการไม่ชอบด้วยกฎหมาย จากกรณียกเลิกคำขอออกโฉนดที่ดินตาม ส.ค.1 เลขที่ 16 ของผู้ฟ้องทั้งสาม ผู้ฟ้องจึงขอให้ศาลมีคำพิพากษาเพิกถอนคำสั่งเจ้าหน้าที่ที่ดินภูเก็ตดังกล่าว และขอให้ออกโฉนดที่ดินตาม ส.ค.1 ที่รังวัดแล้ว 29 ไร่ 55 ตารางวาให้กับผู้ฟ้องทั้งสาม ภายใน 90 วัน นับแต่วันที่ศาลปกครองมีคำพิพากษา

โดยผู้ฟ้องอ้างว่าเมื่อปี 2550 สถานีพัฒนาทรัพยากรป่าชายเลน ยื่นคัดค้านการขอ ออกโฉนดที่ดิน ส.ค.1 และให้เพิกถอนโฉนดเลขที่ 35691 เนื่องจากพื้นที่ดังกล่าวเป็นป่าชายเลน น้ำท่วมถึงทั้ง 2 แปลง ไม่มีร่องรอยการทำประโยชน์ และอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ป่าชายเลนคลองบางชีหล้า-คลองท่าจีน และยังได้รับการร้องเรียนให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เข้ามาตรวจสอบข้อเท็จจริง ถึงที่ตั้งที่ดิน ตาม ส.ค.1 เลขที่ 16 และโฉนดเลขที่ 35691 ว่าที่ตั้งไม่ตรงตำแหน่งที่ขอออกโฉนด ทั้งที่ผู้ฟ้องซื้อที่ดินมาจาก นายประวัติ เรืองสมบัติ เมื่อปี 2532 โดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน

ศาลพิเคราะห์ข้อเท็จจริงและกฎหมายที่เกี่ยวข้องแล้ว นายประวัติ ได้ซื้อที่ดินจากนายคเนสันติ์ ฉวีวงศ์ประทีป แล้ว ต่อมาขายให้ผู้ฟ้องเมื่อปี 2532 โดยผู้ฟ้องนำหลักฐาน ส.ค.1 เลขที่ 16 ไปยื่นขอออกโฉนดที่ดิน ผลรังวัดได้เนื้อที่ 29 ไร่ แต่ปี 2533 ยังไม่มีการตรวจสอบที่ดินร่วมกับกรมป่าไม้ กระทั่งมีผู้บุกรุกเข้าไปที่ดินของผู้ฟ้อง จึงได้ยื่นคำขอออกโฉนดอีกในปี 2549 เพราะคำขอฉบับเดิมสูญหาย รังวัดใหม่ได้เนื้อที่ 29 ไร่ 55 ตารางวา แต่นายอำเภอเมืองภูเก็ตและหัวหน้าสถานีพัฒนาทรัพยากรป่าชายเลนที่ 23 (ภูเก็ต) คัดค้านการรังวัดเพื่อออกโฉนดอ้างว่าที่นั้นมีสภาพเป็นป่าชายเลนสมบูรณ์ น้ำทะเลท่วมถึงและอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ

ศาลเห็นว่าเกี่ยวกับแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน ส.ค.1 ปรากฏว่า บุตรนายจินนายา เจ๊ะดี ได้แจ้งการครอบครองเมื่อวันที่ 30 มีนาคม2498 แจ้งว่าทิศเหนือ ทิศใต้ และทิศตะวันตก ติดกับที่ดินของบุคคล โดยทิศตะวันออกติดกับคลองแพรกเกาะช้าง แต่จากการรังวัดเพื่อออกโฉนดเมื่อวันที่ 14 กันยายน 2549 ปรากฏว่า ที่ดินข้างเคียงไม่ตรงกับหลักฐานที่ดินเดิม โดยทิศเหนือติดทางสาธารณประโยชน์ ทิศใต้ติดกับป่าสงวนแห่งชาติ (ป่าชายเลนคลองบางชีหล้า-คลองท่าจีน) ทิศตะวันออกติดลำรางสาธารณะประโยชน์ ทิศตะวันตกติดกับโฉนดที่ดิน 35691 ต.รัษฎา ที่ผู้ฟ้องถือกรรมสิทธิ์

Advertisement

ดังนั้นแนวเขตที่ดินทิศตะวันตกที่ผู้ฟ้อง นำทำรังวัดจึงไม่สัมพันธ์กับหลักฐาน ส.ค.1 ฉบับที่ 16 ที่นายจินนายา เจ้าของเดิมเคยแจ้งครอบครองไว้ จึงไม่อาจเชื่อว่า ส.ค.1 เลขที่ 16 หมู่ที่ 3 ต.รัษฎา อ.เมืองภูเก็ต เป็นหลักฐานการแจ้งครอบครองที่ดินแปลงที่ผู้ฟ้องทั้งสามนำทำการังวัดเพื่อขอ ออกโฉนดเมื่อปี 2532 และ ปี 2549

การที่ผู้ฟ้อง อ้างว่า การแจ้ง ส.ค.1 เลขที่ 16 อาจแจ้งโดยผิดหลง เนื่องจากเป็นการคาดคะเน โดยชื่อเจ้าของที่ดินและเนื้อที่แจ้งครอบครองนั้นตรงกันตามทะเบียนครอบครอง ศาลเห็นว่า ข้อเท็จจริงที่ผู้ฟ้องทั้งสามยกขึ้นมากล่าวโต้แย้ง เป็นการใช้ดุลพินิจของเจ้าหน้าที่ที่ดินผู้พิจารณาออกโฉนดที่ดินเฉพาะรายแต่ละกรณี อาจมีข้อเท็จจริงประกอบการใช้ดุลพินิจของเจ้าพนักงานที่ดินมากกว่าที่ผู้ฟ้องกล่าวอ้างมา และไม่อาจยืนยันได้ว่าโฉนดที่ดินที่ออกไปนั้น เป็นโฉนดที่ออกโดยชอบด้วยกฎหมาย ข้อโต้แย้งผู้ฟ้องจึงไม่อาจรับฟังได้ ผู้ถูกฟ้องจึงไม่อาจออกโฉนดที่ดินให้แก่ผู้ฟ้องทั้งสามได้ และไม่จำต้องพิจารณาเงื่อนไขอื่นในการมีคำสั่งยกเลิกคำขอออกโฉนดที่ดิน คำสั่งของผู้ถูกฟ้องชอบด้วยกฎหมายแล้ว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับคำพิพากษาดังกล่าว เป็นการตัดสินของศาลปกครองชั้นต้น ตามกฎหมายคู่ความยังสามารถยื่นอุทธรณ์ต่อศาลปกครองสูงสุดภายใน 30 วัน นับแต่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษา

Advertisement
QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image