ผู้พิพากษาอาวุโส วิพากษ์นโยบายเศรษฐกิจรัฐหลงทาง-กัญชา-เปิดสถานบันเทิงตี 4

ผู้พิพากษาอาวุโสวิพากษ์นโยบายเศรษฐกิจรัฐเดินหลงทาง ค้านเปิดวีซ่านักเที่ยวจีน-อินเดีย มีโอกาสเกิดปัญหาตามมาควรนำจุดเเข็งเข้าสู้ ชู สมุนไพร-น้ำมันกัญชาไทยคุณภาพดีมุ่งสู่ภาคอุตสาหกรรม ฉะ รัฐมุ่งเเต่ส่งออกหวังตัวเลข GDP หวังปั้นเศรษฐีใหม่เเค่ 1-2% ชี้เปิดสถานบันเทิงตี 4 ไม่ช่วยประชาชนรากหญ้า ชี้ต้องทำให้ประชาชนเข้มเเข็ง ไม่ใช่เเจกเงินเหมือน ปชช.เป็นขอทาน

เมื่อวันที่ 25 ส.ค.นายศรีอัมพร ศาลิคุปต์ ผู้พิพากษาอาวุโสในศาลอุทธรณ์ ได้ให้ความเห็นเเละเเสดงข้อห่วงใยถึงการเสนอนโยบายของฝ่ายรัฐบาลเกี่ยวกับเศรษฐกิจของประเทศ ที่เมื่อ 2-3 วันที่ผ่านมา เป็นข่าวใหญ่ในเรื่องการเติบโตทางเศรษฐกิจหรือที่เรียกว่า GDP, การเร่งส่งเสริมหารายได้เข้าประเทศทางการท่องเที่ยว โดยการเสนอให้เปิดการยกเว้นการเก็บค่าธรรมเนียมการขอวีซ่าเข้าประเทศของพลเมืองจีนและอินเดียเพื่อเร่งส่งเสริมการท่องเที่ยวหารายได้เข้าประเทศ ทดแทนการส่งสินค้าออกที่มีปัญหาหดตัวจากเศรษฐกิจโลกและสงครามการค้าระหว่างจีน-สหรัฐ, การขอให้รัฐอนุโลมให้สถานบันเทิงเปิด ถึงเวลา 04.00 น., การหามาตรการช่วยเหลือการส่งสินค้าออกนอกประเทศ เพราะกลัวการพลาดเป้าส่งออก, โครงการถมทะเลบริเวณแหลมฉบัง อีก 300 ไร่ เพื่อให้บริษัท เอ็กซอน โมบิล คอร์ปอเรชั่นลงทุน ประกอบอุตสาหกรรมด้านปิโตรเคมี ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมใหญ่เกี่ยวกับด้านน้ำมัน และผลิตผลจากการผลิตและกลั่นน้ำมัน มาเป็นโพลีพลาสติก เป็นต้น, มาตรการการประกันราคาพืชผลเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร, การกระตุ้นเศรษฐกิจ ด้วยการแจกเงินคนจน

นโยบายของรัฐเหล่านี้ดูเผินๆ ก็อาจจะเข้าใจผิดว่าเป็นการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจตามหลักวิชาการ ทั้งยังมีนักวิชาการกูรูและเจ้าหน้าที่ของรัฐที่มีหน้าที่เกี่ยวข้อง การปฏิบัติตามนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลออกมาอธิบายถึงประโยชน์ได้เสียที่รัฐนำนโยบายไปปฏิบัติเป็นแผนงานต่างๆ เพื่อช่วยเหลือประชาชนและทำให้เศรษฐกิจของประเทศชาติเข้มแข็ง

แต่หากจะวิเคราะห์เข้าถึงเนื้อในของนโยบายทางเศรษฐกิจของรัฐในขณะนี้แล้ว เป็นเรื่องที่น่าตกใจว่า วิสัยทัศน์และมุมมองความเห็น ถ้าเป็นการหลงทาง หรือเป็นการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจที่ผิดพลาดและสุ่มเสี่ยงต่อการทำให้สถานะเศรษฐกิจของประเทศตกสู่หล่มหรือกับดักของวิกฤตเศรษฐกิจโลกได้ ภายในไม่ถึง 2 ปีด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ เพราะหากวิเคราะห์เจาะลึกโครงสร้างการผลิตของประเทศแล้วพบว่า เรามีโครงสร้างอยู่ที่สำคัญ 2 อย่างคือ 1 เกษตร ซึ่งเป็นบุคคลส่วนใหญ่ของประเทศเเละ 2 ภาคอุตสาหกรรมและการค้า ซึ่งเป็นเปอร์เซ็นต์ของผู้ประกอบการ มีไม่เกิน 5% เเละเมื่อดูโครงสร้างการผลิตอุตสาหกรรมไทยคงเป็นอุตสาหกรรมที่ไม่มีเทคโนโลยีขั้นสูง ขาดการวิจัยและพัฒนา ไม่ว่าอุตสาหกรรมหนักหรือเบา อุตสาหกรรมเคมีและเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ หรือเครื่องมือทางการแพทย์ก็ไม่ได้มีความก้าวหน้าทัดเทียมประเทศชั้นนำอื่นๆ ดังนั้นมูลค่าสินค้าจึงต่ำ และยากแก่การแข่งขันกับประเทศต่างๆ ที่มีระดับอุตสาหกรรมเช่นเดียวกัน

Advertisement

สำหรับภาคเกษตรของประเทศไทย ซึ่งประชาชนส่วนใหญ่เป็นเกษตรกรจะทำเกษตรมากที่สุด ก็พบว่ามีรายได้ต่ำ และไม่สามารถเพิ่มผลผลิตให้สูง และไม่สามารถลดต้นทุน ได้เทียบเท่าประเทศเพื่อนบ้าน เช่น มาเลเซีย และอินโดนีเซีย คือ การปลูกปาล์มน้ำมัน ยางพารา หรือกระทั่งการปลูกข้าวเราก็สู้เวียดนาม และจีนไม่ได้ เพราะเรามีเทคโนโลยีการเกษตรที่ต่ำกว่า จนไม่สามารถพัฒนาพืชผลให้เทียบเท่ากับประเทศอื่น

ยกตัวอย่างเช่น ปาล์มน้ำมันเราไม่สามารถแข่งขันสู้กับมาเลเซีย และอินโดนีเซียได้ ผักผลไม้ เราก็ไม่สามารถผลิตสู้ประเทศจีนได้ ดังจะเห็นได้ว่าในแต่ละปีประเทศจีนจะส่งผักผลไม้มาขายในประเทศไทยกว่า 1 ล้านตัน โดยผลิตผลดังกล่าวมีคุณภาพดี ราคาถูกกว่า เช่น กระเทียม แครอท ผักต่างๆ ผลไม้ ก็มีราคาถูกกว่าประเทศไทยทั้งสิ้น เนื่องจากกระบวนการจัดการการผลิตและเทคโนโลยี สูงกว่าอันเป็นจุดแข็งของเขา จนผลิตผลของประเทศไทย แข่งขันไม่ได้ต้องตั้งกำแพงภาษีหรือจำกัดจำนวนนำเข้าหรือจำกัดเขตการจำหน่ายเป็นต้น

ปัญหาของรัฐที่ต้องตั้งโจทก์มีว่า อะไรที่เป็นจุดแข็งของกระบวนการการผลิตของประเทศไทยที่จะสามารถนำไปแข่งขันและสู้กับประเทศอื่นได้ ในขณะที่เศรษฐกิจของโลกกำลังมีปัญหาและปัญหา สงครามการค้าจีน-สหรัฐ อันมีผลกระทบต่อการส่งออกของไทย ที่ไทยต้องแก้ปัญหา มันเป็นโจทย์ที่ยากยิ่ง จึงขอถามว่าอะไรที่เป็นจุดแข็งของสินค้าไทยที่จะนำไปแข่งขันกลับประเทศอื่น ในท่ามกลางเศรษฐกิจที่มีมรสุม และมีกูรูทำนายว่าอาจเกิดเศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลกภายในไม่เกิน 3-5 ปีนี้

Advertisement

รัฐบาลและคนไทย กลับลืมปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่ให้ไว้ตั้งแต่ปี 2543 คือเราไม่พยายามสร้างความเข้มแข็งให้ประชาชน คนไทยทั้งภาคเกษตรและภาคอุตสาหกรรม เราไม่เคยค้นคว้าหรือหาจุดแข็ง หรือความสามารถทางการแข่งขันกับประเทศอื่นทั่วโลก เราไม่ได้ศึกษาและวิจัยในเรื่อง การผลิตสินค้า หรือบริการ ตลอดจนภาคเกษตร และเกษตรอุตสาหกรรมว่า สินค้าใดเป็นสินค้าที่เป็นจุดแข็ง และสู้เขาได้ สินค้าและบริการที่เป็นจุดแข็ง คือ สินค้าที่เราสามารถผลิตได้โดยเทคโนโลยีของเราเอง มีราคาสูง มีคุณภาพสูง และประเทศอื่นไม่สามารถผลิตเพื่อแข่งขันได้ จะขอยกตัวอย่างเช่น ขณะนี้เราได้พบว่าน้ำมันกัญชา เป็นพืชทางเศรษฐกิจที่ประเทศไทยมีความสามารถสูงในการปลูกผลิตและสกัดทำน้ำมันกัญชา เพื่อนำไปใช้เป็นยารักษาโรคที่มีประสิทธิภาพสูง ที่สามารถสู้ผู้ผลิตเคมีภัณฑ์จากชาติยุโรป สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่นและจีนได้ แต่รัฐก็ไม่มีวิสัยทัศน์หรือความกล้าที่จะนำจุดแข็งของประเทศไทยมาเป็นการผลิตสินค้า เพื่อเป็น สินค้าชนิด Champion Products และสามารถส่งออกเป็นมูลค่าสูง หลายล้านล้านบาทต่อปีได้ อันเนื่องจากความหวาดระแวง ความขี้ขลาด และไม่กล้าหาญของผู้นำประเทศ ที่จะกล้าตัดสินใจให้ประเทศไทย เป็นผู้ ผลิตสินค้า ประเภท Champion of Product คือ น้ำมันกัญชา ให้เป็นอุตสาหกรรม

เรื่องต่อไปคือ การที่ประเทศไทยกลับไปส่งเสริมเกษตรกรรมประเภทที่เราสู้เขาไม่ได้ เช่น ส่งเสริมให้ปลูก ผลผลิต ประเภทกระเทียม ถั่วเหลือง น้ำมันปาล์ม และยาง แทนที่จะส่งเสริมให้เกษตรกรหันไปปลูกพืชที่สามารถแข่งขันและผลิตเป็นสินค้าชั้นสูงได้ กลับไม่กระทำแต่กลับไปรับจำนำสินค้าเกษตรบ้าง ประกันราคาพืชผลบ้าง ทั้งๆ ที่สินค้าเหล่านี้เราไม่สามารถที่จะส่งออก หรือแข่งขันในการส่งออกได้ทั้งราคาก็ต่ำไม่คุ้มค่า
สิ่งที่ลูกค้าทั่วโลกต้องการ ก็คือ ยาสมุนไพร ที่ประเทศไทยมีศักยภาพสูงในการผลิต ตลอดจนมีวัตถุดิบ มาก เนื่องจากประเทศไทยมีพืชสมุนไพรและพืชอื่นๆ ที่มีความหลากหลาย ทางชีวภาพสามารถนำไปผลิตยา ที่มีคุณภาพสูง และมีผลข้างเคียงน้อย อันเป็นที่นิยมของตลาดโลก แต่รัฐก็ไม่ส่งเสริมและระดมทุนในการวิจัย และพัฒนา ทั้งๆ ที่สินค้าประเภทนี้ ตลาดโลกต้องการสูง ราคาสูง และไม่มีคู่ต่อสู้ที่จะมาแข่งขันกับเราได้ แต่ประเทศไทยก็ไม่ได้ส่งเสริมให้เกษตรกรหันมาสนใจปลูกและผลิตยาสมุนไพร แต่อย่างใด
คนไทยเก่งในการปลูกไม้ดอกไม้ประดับ และสามารถผลิตต้นกล้าพันธุ์ที่เป็นสินค้า อันมีคู่แข่งขันน้อย มีราคาสูง และสามารถเป็นสินค้าส่งออกที่สำคัญ แต่ก็ไม่ปรากฏการส่งเสริมของรัฐแต่อย่างใด
คนไทยมีฝีมือ หรือศิลปะในการผลิตสินค้าชนิด Handmade การวิจัยและพัฒนา ประกอบการฝึกอาชีพและฝีมือสามารถทำให้สินค้าประเภทนี้ สามารถแข่งขันกับสินค้าประเทศอื่นได้ ก็ไม่ได้สนใจในการส่งเสริมการลงทุนประเภทนี้

ด้านการแพทย์แผนโบราณของไทย เราก็สามารถผลิตยาไทยที่มีคุณภาพทัดเทียม อย่างแผนปัจจุบัน สามารถส่งเสริมการลงทุนและส่งออกได้โดยง่าย โดยมีราคา สูง มีผลข้างเคียงน้อย แปลงจากยาแผนปัจจุบัน การรักษาด้วยวิชาการนวดแผนโบราณ และการรักษาด้วยสปา เราก็สามารถแข่งขันได้ และยังเป็นการส่งออกซึ่งสินค้าและบริการได้ด้วย

อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ว่าการเกษตร และเพื่อการผลิตรัฐจะละเลย แม้สินค้าประเภทนี้เราจะสู้เขาไม่ได้แต่เราต้องการการพึ่งพาตนเองในเรื่องความมั่นคงทางอาหารและการผลิตสินค้า เพื่อใช้ภายในประเทศเป็นหลัก ส่วนการส่งออกนั้นก็ไม่ควรจะส่งเสริมให้มากเกินไป เพราะอย่างไรก็ตาม ผลตอบแทนมีต่ำกว่าสินค้าที่เป็นจุดแข็งของประเทศ GDP และการส่งออก ไม่ควรเป็นเป้าหมายที่สำคัญของประเทศ แต่รัฐต้องคำนึงถึงตัวเลขเศรษฐกิจว่าควรขยายตัวเพียงใด ตัวเลข GDP มากหรือน้อย หรือสถิติการส่งออกควรขยายตัวเพียงใด เพราะสิ่งนี้ไม่ใช่ตัวชี้วัดหรือบ่งชี้ถึงความสำเร็จในการบริหารงานของรัฐ นโยบายเศรษฐกิจที่แท้จริงต้องไม่ให้ประเทศไทยพึ่งพาการส่งออก ไม่ต้องพึ่งพาตัวเลข GDP ที่บรรดาผู้ประกอบการและเศรษฐีเพียงไม่ถึงร้อยละ 50 ของประเทศเป็นเจ้าของ แต่ต้องทำให้ประชาชนในประเทศมีความเข้มแข็ง ในการประกอบกิจการงานมีรายได้ที่สมควรพอกินพออยู่ มีความมั่นคงทางอาหาร อย่าไปส่งเสริมให้มีเศรษฐีใหม่เพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก แต่ต้องทำให้ประชาชน รากหญ้า สามารถพึ่งพาตนเองได้ โดยไม่ต้องเอาเงินมาแจกประชาชนเหมือนประชาชนเป็นคนขอทาน การกระตุ้นเศรษฐกิจ เพื่อให้เกิดเศรษฐีใหม่ อีก 1-2 เปอร์เซ็นต์คงไม่ใช่คำตอบที่ถูกต้อง

ในเรื่องการส่งเสริมการท่องเที่ยวโดยยอมให้เปิดสถานบริการถึงเช้าก็ไม่ได้ทำให้รายได้ที่เข้ามา เพื่อซื้อเผื่อแผ่ไปถึงประชาชนที่เป็นรากหญ้าของประเทศ หากรัฐบาลสามารถทำให้ประชาชนเข้มแข็ง และพึ่งพาตนเองได้ก็ถือว่าประสบความสำเร็จในการบริหารราชการแผ่นดิน เราไม่สามารถทําให้ทุกคนเป็นคนรวยได้ แต่อย่าพยายามใช้งบประมาณอย่างล้างผลาญ เพื่อตัวเลข GDP การเติบโตทางเศรษฐกิจ ว่าด้วยการส่งออกและ การได้เปรียบดุลการค้า เพราะสิ่งนั้นไม่ใช่ภาพที่แท้จริงของเศรษฐกิจประเทศไทย

ส่วนการเร่งหารายได้จากการท่องเที่ยวด้วยการยกเว้น ค่าธรรมเนียมวีซ่า และการขอผ่อนผันให้เปิดสถานบันเทิง ถึงเวลา 04.00 น.นั้นผมมองว่า รัฐมนตรีท่องเที่ยวผู้เสนอนโยบายอาจจะหลงทาง เพราะแม้รายได้จากการท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น เพื่อทดแทนรายได้จากการส่งออก แต่การส่งเสริมการท่องเที่ยวจนมากเกินกว่าประเทศจะรับได้ จะเป็นการทำลายบรรยากาศการท่องเที่ยว เป็นการทำลายทรัพยากรธรรมชาติอันเกิดจากการใช้ของนักท่องเที่ยวมากเกินไป และยังก่อให้เกิดปัญหาความขัดแย้ง ความไม่พึงพอใจระหว่างคนในประเทศกับนักท่องเที่ยวที่มีการแย่งกันใช้บริการ นอกจากนี้ การไม่คัดกรองนักท่องเที่ยวยังเป็นปัญหาสุ่มเสี่ยงในการเกิดปัญหา

การขอเปิดสถานบันเทิงถึง 04.00 น.ก็ไม่ใช่รายได้หลักของการท่องเที่ยว เพราะผู้ที่มาใช้บริการนั้น เป็นนักท่องเที่ยวกลุ่มน้อย เขามีงานเลี้ยงและเม็ดเงิน ที่ได้จากนักท่องเที่ยวจากสถานบันเทิงนี้ก็ไม่ได้กระจายไปยังประชาชนรากหญ้า แต่จะตกอยู่กับนายทุนผู้ประกอบธุรกิจเป็นส่วนใหญ่ ทั้งยังก่อให้เกิดปัญหาสังคม ที่คนไทยในแหล่งที่มีการยกเว้นให้เปิดสถานบันเทิงเกินเวลาก็จะเข้ามาใช้บริการ อันก่อให้เกิดปัญหาเศรษฐกิจและสังคมของคนไทย ซึ่งไร้ระเบียบวินัยและการควบคุม ปัญหานี้จะย้อนกลับมาสู่คนไทย และไม่เกิดประโยชน์แก่รายได้ที่จะกระจายลงแก่ประชาชนทั่วไป จึงเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสมและมองแต่ตัวเลขรายได้จากการท่องเที่ยวเท่านั้น จึงเป็นนโยบายที่ไม่รอบคอบและไม่เหมาะสมเป็นอย่างยิ่ง

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image