จากกรณีอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 1 สั่งไม่ฟ้องนายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร ผู้อำนวยการสำนักทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัด (ทสจ.) ปัตตานี และอดีตหัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน นายบุญแทน บุษราคัม ผู้ต้องหาที่ 2 นายธนเสฏฐ์ หรือไพฑูรย์ แช่มเทศ และนายกฤษณพงษ์ จิตต์เทศ ในข้อหาร่วมกันฆ่านายพอละจี รักจงเจริญ หรือบิลลี่ แกนนำกะเหรี่ยงบ้านโป่งลึก-บางกลอย อ.แก่งกระจาน จ.เพชรบุรี โดยไตร่ตรองไว้ก่อน
เมื่อวันที่ 25 มกราคม แหล่งข่าวระดับสูงจากกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เปิดเผยถึงเหตุผลที่อัยการฝ่ายคดีพิเศษ 1 สั่งไม่ฟ้องนายชัยวัฒน์ และพวก ในข้อหาร่วมกันฆ่านายพอละจี รักจงเจริญ หรือบิลลี่ แกนนำกะเหรี่ยงบ้านโป่งลึก-บางกลอย อ.แก่งกระจาน จ.เพชรบุรี โดยไตร่ตรองไว้ก่อน ว่าในสำนวนทางอัยการได้ให้เหตุผลไม่เชื่อว่านายพอละจีเสียชีวิต อธิบายถึงประเด็นสารพันธุกรรมไมโทคอนเดรียที่สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กระทรวงยุติธรรม นำมาใช้ตรวจชิ้นส่วนกระดูกกะโหลก นำไปตรวจดีเอ็นเอเปรียบเทียบกับมารดานายพอละจี ซึ่งทางอัยการระบุว่า การตรวจดังกล่าวเป็นการตรวจที่ระบุได้เพียงแค่การสืบสกุลจากหญิงสกุลใดเท่านั้น หรือพูดให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือ จะบอกแค่ว่าชิ้นส่วนกระดูกที่พบนั้นเป็นบุคคลในกลุ่มสกุลเดียวกันกับแม่ของนายพอละจี ไม่มีพยานบุคคลระบุได้ว่าแม่ของยาย หรือยายของยายนายพอละจี มีใครบ้างที่ยังมีชีวิต หรือเสียชีวิตไปแล้วบ้าง จึงไม่อาจยืนยันว่านายพอละจีถึงแก่ความตายไปแล้ว ทางอัยการเลยไม่ฟ้องข้อกล่าวหานี้ นอกจากนี้ยังมีการอธิบายหยิบยกประเด็นเรื่องที่ศาลยกคำร้องเรื่องการขอปล่อยตัว ซึ่งเป็นคนละประเด็นกับที่พนักงานสอบสวนดำเนินคดี
“ปกติแล้วหากอัยการเห็นว่าพยานหลักฐานในสำนวนส่วนไหนที่ยังไม่เพียงพอก็จะสั่งให้ทางพนักงานสอบสวนสอบเพิ่มหรือไปหาเพิ่มเติม เพราะอีกนานคดีกว่าจะขาดอายุความ เพื่อความเป็นธรรมให้กับผู้ถูกกล่าวหา แต่ครั้งนี้ไม่มีการสั่งให้สอบเพิ่มเติม อีกทั้งในชั้นพนักงานสอบสวน ผู้ถูกกล่าวหาก็ไม่ได้ให้การแต่อย่างใด อีกทั้งในประเด็นเรื่องดีเอ็นเอ พนักงานสอบสวนได้สอบปากคำผู้เชี่ยวชาญประกอบไปในสำนวนอย่างละเอียด มีหลักทฤษฎี วิชาการรองรับ ไม่ได้เขียนขึ้นมาลอยๆ เลยไม่เข้าใจเหมือนกัน ไม่รู้ว่าทางอัยการพิจารณาเฉพาะคำร้องของผู้ถูกล่าวหา แต่ไม่ตรวจสอบคำให้การในประเด็นผู้เชี่ยวชาญที่อยู่ในสำนวนหรือไม่ แต่ทางดีเอสไอก็ต้องส่งความเห็นแย้งไปตามระบบขั้นตอน” แหล่งข่าวระบุ
