ผบช.สตม.ลั่นพร้อมเปิดชื่อพวกหนีกักตัวไม่กลัวถูกฟ้อง

เมื่อวันที่ 4 เมษายน ที่ศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉินท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (EOC) พล.อ.พรพิพัฒน์ เบญญศรี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด หัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินด้านความมั่นคง พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผบช.สตม. นพ.สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมควบคุมโรค นำทีมแถลงภายหลังเกิดเหตุผู้โดยสารเดินทางเข้าประเทศไทย และรวมตัวกันไม่ยอมรับมาตรการกักตัว 14 วัน และมีการออกนอกพื้นที่เมื่อวันที่ 3 เมษายนที่ผ่านมา

พล.อ.พรพิพัฒน์กล่าวว่า จากการตรวจสอบเหตุการณ์และทุกส่วนที่เกี่ยวข้องก็พบว่ามาตรการการดำเนินการยังเป็นไปตามมาตรฐานที่กำหนดไว้ แต่เมื่อวันที่ 3 เมษายน เป็นวันแรกที่มีการประกาศยกระดับการห้ามออกนอกบ้าน ซึ่งผู้ที่เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรจะต้องผ่านการตรวจสอบเป็นรายบุคคลทุกคน แต่ในการบริหารจัดการดังกล่าวอาจจะทำให้ผู้โดยสารเกิดการรอคอยนานกว่าปกติ เนื่องจากจะต้องรอจำนวนผู้โดยสารเพื่อที่จะได้เดินทางไปสถานที่กักตัวพร้อมกันเพื่อไปยังสถานกักกันโรค ตรงนี้เราก็มีจุดอ่อนเล็กน้อยในการบริหารจัดการอารมณ์จนเกิดความไม่ราบรื่นในการใช้มาตรการ แต่ก็ทำเพื่อประชาชนและครอบครัวของผู้เดินทางกลับ

พล.ต.ท.สมพงษ์กล่าวว่า เรื่องการกักตัวเรามีปัญหาคือผู้โดยสาร จำนวน 158 คน จาก 5 เที่ยวบิน ที่ไม่ยอมกักตัวซึ่งบินมาจากญี่ปุ่น สิงคโปร์ กาตาร์ และส่วนใหญ่มาจากยุโรปและอเมริกา ซึ่งเป็นนักเรียนไทยในต่างประเทศ โดยตนชี้แจงไปแล้วว่าถ้าเดินทางเข้าประเทศมาจะต้องถูกกักตัว จะต้องร่วมมือกันเพราะเป็นมหันตภัยโลก ประเทศไทยไม่เคยเกิดมาก่อน หลายฝ่ายทำงานกันอย่างหนัก เพราะถ้าผ่านเดือนเมษายนไปเข้าหน้าฝนมันจะหนักกว่าเดิม เราต้องไม่เห็นแก่ตัว ไม่เช่นนั้นจะแพร่ขยายเหมือนเหตุการณ์สนามมวย ที่รัฐบาลทำอย่างนี้เพราะว่าหวังดี เราไม่ได้จับกุมไม่ได้นำไปขัง ให้อยู่อย่างสบายสามารถเล่นอินเตอร์เน็ตได้ และยังมีแพทย์คอยดูแลตรวจร่างกาย เวลากลับไปบ้านเจ้าหน้าที่ต้องแยกนอนกับครอบครัว ทุกคนจึงต้องให้ความร่วมมือ ฉะนั้น ภายในวันนี้ เวลา 18.00 น. จำนวนคนที่เดินทางออกไป 158 คน ซึ่งขณะนี้มีมารายงานตัว 61 คน มหาดไทยแจ้งว่าต่างจังหวัดมารายงานตัว 8 คน แต่คนที่ยังไม่มาเราจะดำเนินการตามกฎหมาย โดยตนจะขอเปิดเผยรายชื่อผู้ที่ไม่ได้เดินทางมารายงานตัวเพื่อให้สังคมได้รับทราบว่าคุณไม่มีความรับผิดชอบต่อสังคม ถ้าจะฟ้องมายื่นฟ้องตนได้เลย เรื่องแบบนี้ทุกคนต้องช่วยกันจะเป็นแต่เจ้าหน้าที่รัฐอย่างเดียวไม่ได้

“ถ้าไม่มาเราจะดำเนินมาตรการทางกฎหมาย พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. สั่งการทางวิดีโอคอนเฟอเรนซ์แล้วว่า ถ้าพ้น 6 โมงเย็น จะเป็นหน้าที่ของตำรวจที่อยู่ในจังหวัดที่มีผู้โดยสารที่มีมาตรการกักตัวโดยคดีที่เราจะดำเนินการจะเป็นทั้งการฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และ พ.ร.บ.ควบคุมโรคติดต่อฯ ซึ่งมีโทษจำคุกสูงสุดไม่เกินสองปี ปรับไม่เกิน 40,000 บาท ตอนนี้เราอยากเปิดโอกาสให้ถึง 18.00 น. เนื่องจากหลายคนอาจจะยังสับสนอยู่”

Advertisement

นพ.สุวรรณชัยกล่าวว่า สถานการณ์ตอนนี้ก็เป็นที่ทราบตามข่าวว่าเราสามารถควบคุมผู้ป่วยรายใหม่ที่มีประมาณ 100 กว่าคน ให้เหลือจำนวนไม่ถึง 100 คน ซึ่งผู้ป่วยรายใหม่นี้ไม่ต่ำกว่า 1 ใน 3 เป็นคนไทยที่เดินทางกลับมาจากต่างชาติ, เป็นคนต่างชาติและเป็นผู้สัมผัสกับคนที่เดินทางมาจากต่างชาติ ซึ่งแปลว่าแม้เราจะมีการควบคุมดี แต่ส่วนหนึ่งจะมีความเสี่ยงกับการนำเชื้อโรคเข้ามาจากต่างประเทศ ที่ต้องกักเพราะจะเห็นได้ว่าในทั่วโลกมีการระบาดมากกว่า 200 ประเทศ นั่นหมายความว่าคนที่มาจากต่างประเทศทุกคนมีความเสี่ยงทั้งหมด เป็นที่มาของรัฐบาลที่มีการยกระดับให้รัฐเป็นคนจัดการในเรื่องการกักกัน ซึ่งคนที่ถูกกักกันจะเป็นคนที่มีความเสี่ยง ส่วนที่มีอาการเป็นไข้ จะถูกแยกออกไปตั้งแต่ต้น ฉะนั้น กลุ่มผู้โดยสารที่เดินทางมาและกังวลว่าจะต้องขึ้นรถรวมกันไปยังสถานที่กักกันก็ขอแจ้งตรงนี้เลยว่าในส่วนคนเป็นไข้เราแยกออกมาแล้ว และนโยบายรัฐบาลมีความชัดเจนว่าจะเข้าไปดูแลประชาชนที่ถูกกักกันไม่ว่าจะเป็นเรื่องคัดกรองซ้ำก็ระวัง เก็บตัวอย่างส่งตรวจโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย และหากใครมีการเจ็บป่วยรัฐก็จะดูแลรักษาโดยไม่คิดเงิน ตรงนี้จะเป็นการคุ้มครองครอบครัวผู้เดินทางที่จะไม่ต้องเสี่ยงติดเชื้อ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 18.00 น. มีผู้ที่มารายงานเพื่อกักตัวที่สนามบินสุวรรณภูมิ 67 ราย และไปรายงานตัวที่โรงแรมที่พักที่เป็นสถานที่กักตัว 36 ราย รวม 103 ราย ซึ่งเป็นยอดเฉพาะในส่วนที่มารายงานตัวในเขตกรุงเทพฯ และสนามบินสุวรรณภูมิเท่านั้น โดยขณะนี้ยังเปิดให้มีการรายงานตัวได้ต่อตลอด 24 ชั่วโมง ส่วนจะดำเนินคดีหรือไม่ก็จะต้องสอบถามเหตุผล ส่วนคนที่ไม่มารายงานตัวในวันนี้ขั้นตอนต่อไปก็จะไปตามตัวมาดำเนินคดี

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image