พระพยอม ปลง! แพ้คดี เตรียมคืนที่ดินด่วน เตือนปชช.ให้รอบคอบซื้อ-ขายที่ดิน

พระพยอม ปลง! แพ้คดี เตรียมคืนที่ดินด่วน เตือนปชช.ให้รอบคอบซื้อ-ขายที่ดิน

เมื่อวันที่ 15 มิ.ย.63 ที่วัดสวนแก้ว ต.บางเลน อ.บางใหญ่ จ.นนทบุรี ผู้สื่อข่าวได้ลงพื้นที่เพื่อสอบถามกรณีเรื่องที่ดินกับพระราชธรรมนิเทศ หรือพระพยอม กัลยาโณ เจ้าอาวาสวัดสวนแก้ว โดยที่ดินที่มีข้อพิพาทกันอยู่ทางศาลมีขนาดประมาณ 1 ไร่เศษ มีเนื้อที่ติดกับวัดสวนแก้ว ห่างกันเพียงถนนกั้นอยู่ ซึ่งหลังศาลตัดสินให้แพ้คดีทางวัดต้องคืนที่ดินผืนนี้ให้กับเจ้าของเดิมภายในสิ้นเดือนนี้

สำหรับที่ดินผืนนี้ พระพยอม กัลญาโณ เจ้าอาวาสวัดสวนแก้ว ได้ซื้อมาต่อจากโยมคนหนึ่งในราคา 10,000,000บาท(สิบล้านบาทถ้วน) ตั้งแต่เมื่อปี 2547 และได้ซื้อ-ขาย ทำตามขั้นตอนกฎหมายอย่างถูกต้อง เพื่อนำที่ดินผืนนี้มาสร้างเป็นแคมป์คนงาน ให้คนงานที่มาทำงานให้วัดแล้วไม่มีที่อยู่อาศัย ได้พักอาศัยอยู่ ต่อมาศาลมีคำสั่งให้วัดสวนแก้วแพ้คดี และต้องคืนที่ดินผืนนี้ให้กับเจ้าของที่

ซึ่งขณะนี้ทางเจ้าของที่ดินได้นำสังกะสีมาปิดล้อมที่ดินเอาไว้ แต่ด้านใน ยังมีครอบครัวคนงานพักอาศัยกันอยู่ 1 ครอบครัว คือครอบครัวของ นายประไพ ติ่งสะ คนงานวัดสวนแก้ว พักอาศัยอยู่กับภรรยาและหลายชาย รวม 3 ชีวิต ซึ่งพวกเขาก็ต้องเตรียมย้ายออกจากที่ดินผืนนี้ภายในสิ้นเดือนนี้

ซึ่งก่อนหน้านี้ทาง พระพยอม ยังเคยได้ให้สัมภาษณ์กับทางสื่อมวลชนไว้ด้วยว่า ตอนนี้ปลงแล้ว และไม่อยากได้ที่ดินผืนนี้แล้ว แต่ก็ตั้งข้อสังเกตว่าทำไม ทนาย เจ้าหน้าที่ออกโฉนดหรือ คนปั๊มโฉนด และคนนำที่ดินมาขายถึงไม่มีความผิด แต่คนซื้อกลับมีความผิด ซึ่งบางทีกฎหมายก็ไม่ให้ความเป็นธรรม แต่ก็เชื่อว่ากฎแห่งกรรมยังคงศักดิ์สิทธิ์จริงฝากเตือนประชาชนให้รอบครอบให้การซื้อ-ขายที่ดินกัน

Advertisement

ทั้งนี้เจ้าหน้าที่วัดยังได้ฝากทีมข่าวชี้แจงเรื่องดังกล่าวให้ด้วย เพราะตอนนี้มีโทรศัพท์หลายสายโทรเข้ามาแสดงความเป็นห่วงวัด เพราะเข้าใจว่าวัดต้องคืนที่ดินของทางวัดทั้งหมด แต่ความจริงคือที่ดินขนาด 1 ไร่ กว่าๆ ผืนนี้เพียงผืนเดียว ที่พระพยอมเรียกว่า เป็นโฉนดที่ดินถุงกล้วยแขก เพราะที่ดินตอนซื้อมามีราคาถึง 10,000,000 บาท แต่กลับไม่มีมูลค่าอะไรเลย ซื้อมาจริง แต่เสียเงินฟรี

พระพยอม เปิดเผยว่า จุดเริ่มต้นเกิดขึ้นเมื่อปี 2547 ได้ซื้อที่ดิน 1ไร่ 1งาน 55ตรว.เอาไว้แต่ปรากฏ 2 ปีให้หลังต่อมาคือ ปี2549 เจ้าของทายาทที่ดินตัวจริง โผล่มาฟ้องเรียกร้องที่ดินดังกล่าวกลับคืน เนื่องจากคนที่นำที่ดินมาขายให้ทางวัดคือนางวัทนา สุขสำเริง เป็นเพียงผู้ครอบครองที่ดินปรปักษ์และได้อาศัยอยู่ในที่ดินดังกล่าวมา 18ปี ในที่ดินพื้นนี้ตามมาตรา 1382 ว่าด้วยการเข้าครองของทรัพย์สินของผู้อื่นหรือครอบครองปรปักษ์ โดยการจะเข้าครอบครองที่ดินของผู้อื่นได้นั้น

ผู้ที่เข้าครอบครองปรปักษ์จะเข้ามาใช้ประโยชน์ในทรัพย์สินที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของนั้นอย่างเหมาะสมกับปราศจากการข่มขู่ การใช้กำลัง การหลอกลวงและไม่มีใครหวงห้ามกีดกันในแสดงความเป็นเจ้าของหรือฟ้องร้องขับไล่ รวมไปถึงครอบครองโดยไม่ได้หลบซ่อนเร้น ปิดบัง หรืออำพรางใด ๆ ประกอบกับระยะเวลาที่ได้เข้ามาครอบครองที่ดินของผู้อื่นติดต่อกันมาเป็นระยะเวลา 10 ปี แล้วจึงสามารถจดทะเบียนกรรมสิทธิ์ในที่ดินเนื่องจากการครอบครองปรปักษ์ได้

Advertisement

ต่อมาเจ้าของที่ดินครอบครองปกปักษ์ ได้ไปตกลงยอมคดีความ กับเจ้าของทายาทที่ดินตัวจริงกัน จนเจ้าของทายาทที่ดินตัวจริงได้ถือครองโฉนดและได้สิทธิ์ครอบครองที่ดินกลับคืน จนศาลพิพากษาให้โฉนดที่ดินที่วัดสวนแก้วที่ถือครองอยู่เป็นโมฆะ นั้นคือเอกสารโฉนดที่ดินที่วัดสวนแก้วถือครองอยู่เป็นโมฆะ ไรค่าไปเลย จึงเป็นที่มาของ วลี โฉนดที่ดินถุงกล้วยแขก พร้อมกับเงิน 10ล้านบาท ที่ได้ซื้อที่ดินฉบับเจ้าปัญหาเอาไว้ หายไปในพริบตาเดียวเลย ตั้งแต่บัดนั้น หลังศาลชั้นต้นได้ตัดสินออกไปแล้ว

กรณีนี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 2 เมษายน 2550 ศาลจังหวัดนนทบุรีได้ตัดสินให้เพิกถอนการครอบครองกรรมสิทธิ์ที่ดินของจำเลยที่ 1 คือ นางวันทนา สุขสำเริง และจำเลยที่ 2 คือ มูลนิธิสวนแก้ว โดยให้กรรมสิทธิ์ที่ดิน 1 ไร่ 1 งาน 55 ตารางวา กลับไปเป็นของ นางทองอยู่ หิรัญประดิษฐ์ และทายาทเจ้าของที่ดินตัวจริงตามเดิม

โดยพระยอม ได้กล่าวข้องใจว่า จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทำไมคนซื้อที่ดินมาอย่างถูกต้อง ถึงผิดอยู่ฝ่ายเดียว ทำไมผู้ที่นำที่ดินมาขายให้ หรือบุคคลต่างๆ ทำถูกขั้นตอนกันหมด จนมาถึงเวลานี้ก็ไม่อยากได้ที่ดินพื้นนี้คืนอีกแล้ว แต่อยากให้หน่วยงานหรือผู้ที่เกี่ยวข้อง ออกมาดูความเสียหายที่เกิดขึ้นกับทางวัดบ้างก็ดี ขนาดผู้ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ไวรัสโควิค19 ระบาด ยังได้รับการเยียวยา 5,000บ.กันเลย

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image