ดีเอสไอแย้งอัยการไม่ฟ้องนายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร อดีตหัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน และพวก คดีอุ้ม “บิลลี่” ส่อฟื้นอีกรอบ
ภายหลังอัยการมีคำสั่งไม่ฟ้องนายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร อดีตหัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน และพวก ที่ถูกกล่าวหาเกี่ยวข้องกับการอุ้มหายนายพอละจี หรือบิลลี่ รักจงเจริญ แกนนำชุมชนกะเหรี่ยงบ้านโป่งลึก-บางกลอย จ.เพชรบุรี ในข้อหาร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน
ล่าสุด คดีดังกล่าวมีแนวโน้มจะถูกรื้อฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง โดยพ.ต.ท.กรวัชร์ ปานประภากร อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เปิดเผยเมื่อวันที่ 12 สิงหาคม ว่า ตาม พ.ร.บ.การสอบสวนคดีพิเศษ มาตรา 34 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 145 ภายหลังที่ได้รับสำนวนการสอบสวนและความเห็นของพนักงานอัยการแล้ว ดีเอสไอได้ตรวจพิจารณาพยานหลักฐานในสำนวนการสอบสวน ทั้งพยานบุคคล พยานเอกสาร พยานวัตถุ และโดยเฉพาะพยานหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ ประกอบความเห็นของผู้เชี่ยวชาญที่ปรากฏในสำนวนการสอบสวน กับความเห็นของพนักงานอัยการที่ประกอบการออกคำสั่งไม่ฟ้องแล้ว เห็นว่ายังไม่สามารถเห็นพ้องด้วยกับคำสั่งไม่ฟ้องของพนักงานอัยการดังกล่าว จึงให้ส่งความเห็น พร้อมสำนวนการสอบสวนไปยังอัยการสูงสุด เพื่อพิจารณาตามกฎหมายต่อไป
รายงานข่าวระบุว่า พนักงานสอบสวนดีเอสไอได้พิจารณาในประเด็นที่อัยการมีความเห็นสั่งไม่ฟ้อง เห็นว่าข้อพิจารณาสำคัญประการแรกซึ่งเป็นจุดเชื่อมโยงสำคัญในการใช้ดุลพินิจของพนักงานอัยการในการสั่งไม่ฟ้องนายชัยวัฒน์และพวก คือการที่่พนักงานอัยการเชื่อว่าหลังจากนายชัยวัฒน์และพวกจับกุมนายพอละจีในข้อหาลักลอบนำน้ำผึ้งจากป่าอุทยานฯแก่งกระจาน พร้อมยึดรถจักรยานยนต์และของกลางแล้ว ได้มีการปล่อยตัวนายพอละจีและคืนของกลางทั้งหมดให้ ประเด็นนี้เมื่อตรวจสอบเหตุผลประกอบดุลพินิจของพนักงานอัยการแล้ว พนักงานอัยการต้องพิจารณาจากพยานหลักฐานต่างๆ และพฤติการณ์แห่งคดีเป็นสำคัญ แต่ในประเด็นดังกล่าวอัยการกลับให้เหตุผลในคดีในประเด็นนี้เพียงว่า 1.ผู้ต้องหาทั้ง 4 ให้การว่าปล่อยตัวนายพอละจีแล้ว 2.พยานที่เป็นนักศึกษาฝึกงานในอุทยานฯแห่งกระจานเบิกความขัดกัน และ 3.ศาลยกคำร้องในคดีควบคุมตัวโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ดังนั้น ดีเอสไอจึงมีความเห็นแย้งไปยังอัยการสูงสุด เพื่อเดินหน้าคดีต่อไป
