‘ฐิติราช’มั่นใจตำรวจทำคดี’พ.ต.ท.บรรยิน’สรุปสำนวนสิ้นเดือนส.ค.นี้

พล.ต.ท.ฐิติราช หนองหารพิทักษ์ ผบช.ก.

จากกรณีพ.ต.ท.บรรยิน ตั้งภากรณ์ อดีต รมช.พาณิชย์ และ อดีต ส.ส.นครสวรรค์ ตกเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับศาลจังหวัดพระโขนง ที่ จ.401/59 ลงวันที่ 27 มิถุนายน 2559 ข้อหาร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาและไตร่ตรองไว้ก่อน และเพื่อจะเอาหรือเอาไว้ซึ่งผลประโยชน์อันเกิดแต่การที่ตนได้กระทำความผิดเพื่อปกปิดความผิดอื่นของตนหรือเพื่อหลีกเลี่ยงให้พ้นอาญาความผิดอื่นที่ได้กระทำไว้ ในคดีฆ่านายชูวงษ์ แซ่ตั๊ง หรือเสี่ยจืด นักธุรกิจรับเหมาก่อสร้างหมื่นล้าน

ล่าสุด เมื่อเวลา 14.30 น. วันที่ 1 สิงหาคม ที่ กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) พล.ต.ท.ฐิติราช หนองหารพิทักษ์ ผบช.ก. กล่าวว่า ในส่วนของการสรุปสำนวนการสอบสวนคดีนี้ คาดว่าน่าจะเสร็จสิ้นภายในเดือนสิงหาคมนี้ จะเร่งรวบรวมพยานหลักฐานข้อเท็จจริงต่างๆ ส่งฟ้องอัยการได้ ตนพร้อมจะให้ความเป็นธรรมกับทั้งสองฝ่าย ทั้งผู้กล่าวหาและผู้ถูกกล่าวหา ไม่ต้องร้องขอความเป็นธรรม เพราะความเป็นธรรมไม่ต้องร้องขอ เราจะแสวงหาข้อมูลที่เป็นจริงทุกๆ ด้าน เข้าไว้ในสำนวน ส่วนเรื่องการพิจารณาคดีนั้นเป็นอำนาจของศาล ว่าท่านจะพิจารณาเช่นไร ผู้ที่เกี่ยวข้องคงต้องไปต่อสู้คดีในชั้นศาลต่อไป สิ่งที่เป็นหลักฐานพิสูจน์ทราบและยืนยันได้เราก็พยายามแสวงหาให้ได้มากที่สุด

พล.ต.ท.ฐิติราช กล่าวต่อว่า คดีนี้เรามั่นใจในพยานหลักฐานต่างๆ ที่มี คือตำรวจเราทำงานต้องมั่นใจ กระบวนการยุติธรรมนั้นเริ่มต้นที่พนักงานสอบสวน แล้วก็อัยการ และศาล ทั้ง 3 ส่วน เป็นอิสระซึ่งกันและกัน ไม่สามารถจะมีความเห็นที่เชื่อมโยงกันได้ ต่างฝ่ายต่างมีอิสระ โดยส่วนของตำรวจเป็นกระบวนการยุติธรรมเบื้องต้น เมื่อเสนอข้อมูลและโดยเฉพาะการที่เรานำพยานหลักฐานไปขออนุมัติศาลออกหมายจับ ศาลอนุมัติแล้ว ที่เหลือจึงเป็นหน้าที่ของพนักงานสอบสวนที่จะต้องรวบรวมพยานหลักฐานให้ได้มากที่สุด เพื่อให้อัยการเชื่อ ให้ศาลเชื่อ ว่าคดีที่เกิดขึ้นมีข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร

พล.ต.ท.ฐิติราช กล่าวอีกว่า ในส่วนที่ น.ส.อุรชา วชิรกุลฑล หรือป้อนข้าว อายุ 26 ปี ผู้ต้องหาคดีโอนหุ้นของนายชูวงษ์ และพบว่าอยู่กับ พ.ต.ท.บรรยิน ในระหว่างที่กำลังตำรวจ บก.ป.เข้าจับกุมตัว พ.ต.ท.บรรยิน ก่อนหน้านี้ ได้แจ้งความที่ สน.ประเวศ เพื่อดำเนินคดีตำรวจ บก.ป.ที่นำกำลังเข้าตรวจค้นบ้านพักเมื่อวันที่ 28 มิถุนายนที่ผ่านมา โดยอ้างว่าเงินสดจำนวน 10,000 บาท และต่างหูเพชรมูลค่าประมาณ 100,000 บาท สูญหายไป นั้น เป็นสิทธิที่สามารถทำได้ แต่อะไรที่เป็นความจริง ก็คือความจริง อะไรที่เป็นเท็จก็คือเท็จ เจ้าหน้าที่ตำรวจทำงานไปตามปกติ ไม่ได้หวั่นเกรงอะไร ไม่ใช่ว่าถูกแจ้งความแล้วจะเลิกทำหรือทำน้อยลง ใครทำอะไรก็ได้รับอย่างนั้น หากมีพยานหลักฐานอะไรเพิ่มเติมอีกเราก็ดำเนินการต่อไปอีก จะค้นจะยึดอีก ทุกอย่างทุกเรื่องตามพยานหลักฐาน เราไม่ได้ทำอะไรแบบคิดจะทำอะไรก็ทำ ตำรวจทำงานตามพยานหลักฐานทั้งสิ้น

Advertisement
QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image