“เมทินี”ออกข้อเเนะนำปธ.ศาลฎีกา 12 ข้อ เป็นเเนวปฏิบัติคุ้มครองสิทธิผู้เสียหายคดีอาญาสอดคล้อง รธน.-มาตราฐานยูเอ็น
เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเมื่อวันที่ 22 ตุลาคม นางเมทินี ชโลธร ประธานศาลฎีกาได้ออกคำแนะนำของประธานศาลฎีกาเกี่ยวกับแนวทางการปฏิบัติต่อผู้เสียหายในคดีอาญา พ.ศ.2563โดยที่เป็นการสมควรให้กระบวนการทางศาลในทุกขั้นตอนการปฏิบัติต่อผู้เสียหายซึ่งเป็นเหยื่ออาชญากรรมอย่างเหมาะสมสอดคล้องกับหลักการตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยและมาตรฐานขององค์การสหประชาชาติ
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 5 แห่งพระธรรมนูญศาลยุติธรรมประธานศาลฎีกาจึงออกคำแนะนำของประธานศาลฎีกาเกี่ยวกับแนวทางการปฏิบัติที่เหมาะสมต่อผู้เสียหายดังต่อไปนี้ข้อ
1.ศาลพึงปฏิบัติต่อผู้เสียหายด้วยความเข้าใจและคำนึงถึงศักดิ์ศรีของบุคคลตลอดจนความปลอดภัยและผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อร่างกายจิตใจฐานะสถานภาพทางสังคมความเป็นอยู่และการดำรงชีวิตของผู้เสียหายอันเนื่องมาจากการดำเนินกระบวนพิจารณาทางศาล
หลักทั่วไป
2.ผู้พิพากษาและเจ้าหน้าที่ศาลพึงรับฟังความคิดเห็นหรือความกังวลใจของผู้เสียหายด้วยความเมตตาและเข้าใจและด้วยความเป็นกลางโดยปราศจากอคติที่มีต่อทุกฝ่ายในคดี
3.เมื่อเห็นเป็นการจำเป็นศาลอาจสั่งให้เจ้าหน้าที่ศาลจัดทำข้อมูลประวัติของผู้เสียหายผลกระทบหรือความเสียหายที่เกิดขึ้นต่อผู้เสียหายความคิดเห็นหรือความกังวลใจของผู้เสียหายตลอดจนพฤติการณ์อื่นใดที่เกี่ยวข้องซึ่งศาลเห็นว่าจะเป็นประโยชน์ต่อคดี
กรณีผู้เสียหายร้องขอคุ้มครองความปลอดภัยให้ดำเนินการตามระเบียบราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรมว่าด้วยการคุ้มครองและค่าตอบแทนพยานในคดีอาญา พ.ศ.2548หรือศาลอาจมีคำสั่งให้เจ้าพนักงานตำรวจศาลดำเนินการตามความเหมาะสม
4.ศาลพึงอธิบายถึงสิทธิและหน้าที่ตามกฎหมายของผู้เสียหายขั้นตอนการดำเนินกระบวนพิจารณารวมถึงแจ้งความคืบหน้าและการสิ้นสุดของการดำเนินกระบวนพิจารณาให้ผู้เสียหายทราบ
5.ในคดีความผิดเกี่ยวกับเพศคดีเกี่ยวกับความรุนแรงในครอบครัวคดีที่ผู้เสียหายเป็นเด็กหรือเยาวชนหรือคดีที่มีผลกระทบต่อความรู้สึกของประชาชนหรือสังคมศาลพึงระมัดระวังไม่ให้มีการเผชิญหน้ากันระหว่างผู้ต้องหาหรือจำเลยกับผู้เสียหายและพยานโดยจัดห้องพักผู้เสียหายและพยานเหล่านั้นแยกต่างหากจากห้องพักพยานทั่วไปรวมถึงอาจจัดให้มีการสืบพยานผ่านระบบการประชุมทางจอภาพหรือสืบพยานแบบไม่เผชิญหน้าเท่าที่ไม่ขัดแย้งต่อกฎหมาย
การปล่อยชั่วคราวผู้ต้องหาหรือจำเลย
6.ในการพิจารณาคำร้องขอปล่อยชั่วคราวผู้ต้องหาหรือจำเลยศาลพึงคำนึงถึงความปลอดภัยในชีวิตร่างกายจิตใจทรัพย์สินและสิทธิขั้นพื้นฐานของผู้เสียหายโดยอาจสอบถามความคิดเห็นของผู้เสียหายเพื่อประกอบการพิจารณาสั่งคำร้องขอปล่อยชั่วคราว
7.ในกรณีที่มีคำสั่งปล่อยชั่วคราวผู้ต้องหาหรือจำเลยศาลอาจกำหนดมาตรการกำกับดูแลความประพฤติของผู้ถูกปล่อยชั่วคราวโดยคำนึงถึงความปลอดภัยและสิทธิของผู้เสียหายเช่น
(1) ห้ามยุ่งเกี่ยวหรือติดต่อกับผู้เสียหายไม่ว่าด้วยวิธีการใด
(2) ห้ามปรากฏตัวให้ผู้เสียหายเห็นโดยจงใจ (3) ห้ามเข้าไปในสถานที่ที่ผู้เสียหายอยู่อาศัย (4) ห้ามสืบหาหรือตรวจสอบความเป็นไปของผู้เสียหาย
การเยียวยาความเสียหาย
ข้อ 8.ศาลจึงให้ความรู้และคำแนะนำแก่ผู้เสียหายโดยเฉพาะอย่างยิ่งการแจ้งให้ทราบถึงสิทธิที่จะได้รับการเยียวยาความเสียหายรวมทั้งให้ความช่วยเหลือแก่ผู้เสียหายตามสมควรในการดำเนินการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนค่าตอบแทนหรือการช่วยเหลืออย่างอื่นที่จำเป็น
9ศาลพึงช่วยเหลือแนะนำผู้เสียหายในการเข้าสู่กระบวนการไกล่เกลี่ยและประนอมข้อพิพาทระหว่างผู้เสียหายกับจำเลยเพื่อให้ผู้เสียหายได้รับการเยียวยาความเสียหายที่เป็นธรรมรวดเร็วและเป็นที่พอใจแก่ทุกฝ่าย
การพิพากษาคดี
10.ในการกำหนดโทษศาลพึงรับฟังความคิดเห็นของผู้เสียหายและคำนึงถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นแก่ผู้เสียหายประกอบด้วยเสมอในกรณีที่จะพิพากษารอการกำหนดโทษหรือรอการลงโทษและคุมความประพฤติจำเลยหากผู้เสียหายยังไม่ได้รับชดใช้ค่าสินไหมทดแทนซึ่งกำหนดให้การขวนขวายชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเป็นเงื่อนไขในการคุมความประพฤติจำเลยด้วยและอาจวางเงื่อนไขให้จำเลยปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างหนึ่งอย่างใดเพื่อป้องกันอันตรายหรือความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นแก่ผู้เสียหายด้วยก็ได้
ข้อ11 เมื่อมีคำพิพากษาศาลจึงแจ้งผลคำพิพากษาพร้อมคำแนะนำเกี่ยวกับสิทธิในการอุทธรณ์หรือฎีกาให้ผู้เสียหายทราบโดยเร็วโดยไม่คิดค่าใช้จ่ายการบังคับค่าสินไหมทดแทนข้อ
12.กรณีที่มีคำพิพากษาให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนและจำเป็นต้องมีการบังคับคดีให้เจ้าหน้าที่ศาลให้คำแนะนำและช่วยเหลือผู้เสียหายในการดำเนินการเพื่อบังคับคดีรวมทั้งการประสานงานแจ้งไปยังเจ้าพนักงานบังคับคดีเพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ผู้เสียหายหรือขอข้อมูลจากองค์กรหน่วยงานหรือบุคคลอื่นใดเพื่อประโยชน์แก่การยึดอายัดทรัพย์สินของจำเลยหรือบังคับคดีโดยวิธีการอื่นต่อไป